ยูเอ็นได้ออกมาเปิดเผยว่า มีประชาชนชาวมุสลิม โรฮิงยา กว่า 86,000 คน ได้เดินทางออกจากรัฐอาระกัน ทางภาคตะวันตกของพม่าโดยทางเรือ มีรายงานว่า ชาวบ้านได้เดินทางอพยพออกจากพื้นที่ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงความขัดแย้งทางเชื้อชาติและศาสนาในรัฐอาระกันเมื่อกลางปี 2555 ซึ่งพวกเขาไม่ได้รับสถานะเป็นพลเมืองของประเทศพม่า
มีรายงานว่า ชาวโรฮิงยาส่วนใหญ่ได้เดินทางโดยทางเรือจากอ่าวเบงกอล เพื่อมุ่งหน้าไปยังประเทศที่สาม ซึ่งส่วนใหญ่ต้องการเดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย โดยพบว่า การเดินทางโดยทางเรือของชาวมุสลิมโรฮิงยานั้นไม่มีความปลอดภัย และพบว่าผู้โดยสารเป็นจำนวนมากต้องอัดกันอยู่แน่นบนเรือ
ทางด้าน Adrian Edwards จาก สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้กล่าวสั้นๆที่กรุงเจนนีวา เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาว่า มีรายงานพบชาวโรฮิงยาเสียชีวิตกลางทะเล 615 คนเมื่อปีที่ผ่านมา โดยผู้รอดชีวิตได้ออกมาเปิดเผยกับเจ้าหน้าที่ของ UNHCR ว่า บนเรือนั้นมีผู้โดยสารอยู่บนเรือเป็นจำนวนมากอย่างแออัด และบางครั้งเรือนั้นหลงทางและมีปัญหาเครื่องยนต์ ผู้โดยสารบางคนเสียชีวิตลงเพราะไม่มีอาหารและน้ำดื่มและต้องโยนศพทิ้งลงทะเล
ทั้งนี้ ปัญหาความรุนแรงและความขัดแย้งในรัฐอาระกันซึ่งประทุขึ้นเมื่อปี 2555 ส่งผลให้มีประชาชน 137,000 ต้องไร้ที่อยู่และต้องอาศัยอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวในรัฐอาระกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมโรฮิงยา วิกฤติความตึงเครียดที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในรัฐอาระกัน ยังส่งผลให้รัฐบาลจำกัดความช่วยเหลือจากต่างชาติ ประชาชนในพื้นที่ไม่สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม การรักษาพยาบาล การศึกษาและไม่สามารถประกอบอาชีพได้ จึงทำให้ชาวมุสลิมบางส่วนเลือกที่จะเสี่ยงอพยพเดินทางไปยังประเทศที่สาม
Adrian Edwards ยังเปิดเผยว่า ตัวเลขผู้อพยพออกจากรัฐอาระกันเพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อนๆ และบางส่วนตกไปอยู่ในมือของกลุ่มขบวนการค้ามนุษย์ โดยพวกเขาถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวและถูกทำร้ายร่างกาย มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากอยู่ตามแคมป์ในป่าใกล้ชายแดนไทย -มาเลเซีย นาย Adrian Edwards ยังเปิดเผยอีกว่า ชาวโรฮิงยาเหล่านี้จะได้รับอิสรภาพก็ต่อเมื่อทางญาตินำเงินมาไถ่ถอนตัวพวกเขา
ที่มา Irrawaddy
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น