มีรายงานว่า ผู้นำระดับสูงของพม่ามีความคิดเห็นแตกแยกเกี่ยวกับประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2008 (2551) ทั้งนี้ ทางประธานาธิบดีเต็งเส่งและพลเอกมิ้นอ่องหล่าย ผู้บัญชาการสูงสุดของกองทัพพม่าต่างเห็นพ้องตรงกันว่า การแก้ไขใดๆจะต้องทำภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2008 ขณะที่นายฉ่วยหม่าน โฆษกสภาสูงและล่างของรัฐสภาพม่า และเคยเป็นอดีตนายพลพม่าได้มีความเห็นต่างออกไป
เมื่อวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา ในการขึ้นกล่าวในวาระครบรอบ 3 ปี ของคณะรัฐบาลพม่าชุดปัจจุบัน ประธานาธิบดีเต็งเส่งได้กล่าวต่อในรัฐสภาว่า กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญใดๆจะต้องทำตามภายใต้กรอบรัฐธรรมนูญปี 2008 ขณะที่รัฐธรรมนูญฉบับปี 2008 นั้นได้ให้ทหารสามารถออกเสียงในข้อเสนอเปลี่ยนแปลงต่างๆ
นอกจากนี้ หนึ่งวันถัดมา ในการขึ้นกล่าวในวันกองทัพพม่า พลเอก มิ้นอ่องหล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพพม่า ได้กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญจะต้องทำตามบทบัญญัติข้อที่ 12 ซึ่งระบุไว้ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำได้ก็ต่อเมื่อได้รับเสียงสนับสนุน 75 เปอร์เซ็นต์จากสมาชิกสภานิติบัญญัติ ขณะที่ที่นั่งในรัฐสภาจำนวน 25 เปอร์เซ็นต์นั้นถูกสงวนไว้ให้กับทหาร
ขณะที่ นายฉ่วยหม่าน โฆษกสภาสูงและล่างของพม่า มีความคิดเห็นที่แตกต่างจากจุดยืนของประธานาธิบดีเต็งเส่งและพลเอก มิ้นอ่องหล่าย โดยทางนายฉ่วยหม่านได้เคยเรียกร้องต่อคณะกรรมการรัฐสภาให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะบทบัญญัติที่ 12 ทางด้านพรรคการเมืองฝ่ายค้านอย่างพรรคเอ็นแอลดี กลุ่มนักศึกษาปี 1988 และภาคสังคมได้ออกมารณรงค์คัดค้านการออกเสียงของทหารในสภาต่อการแก้ไข้รัฐธรรมนูญปี 2008 ด้วยเช่นกัน
ด้านแหล่งข่าวของกองทัพระบุว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2008 ระหว่างผู้นำพม่ายังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ทั้งสองฝ่ายต่างเห็นตรงกันได้ และความไม่ลงรอยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่หลายเดือนที่ผ่านมา เริ่มปรากฎให้เห็นการประท้วงมากขึ้นทั่วประเทศ โดยการประท้วงเกิดขึ้น เพื่อสนับสนุนให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยในบางครั้งมีประชาชนนับพันคนเข้าร่วมการประท้วง ส่วนทางด้าน พลเอกมิ้นอ่องหล่ายกล่าวย้ำในวันกองทัพพม่าที่ผ่านมาว่า ทหารนั้นจะยังมีบทบาทสำคัญในทางการเมืองพม่าต่อไป
แปลและเรียบเรียงจาก Irrawaddy
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น