ปีที่ผ่านมา พม่ามีชาวต่างชาติเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกเว้นเกาหลีเหนือ ทว่า รุ่งอรุณแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองบนผืนแผ่นดินทองก็ได้ทำให้นักท่องเที่ยวหันมาสนใจที่จะเดินทางมาเยือนดินแดนอันงดงามที่มีผู้คนอัธยาศัยดีแห่งนี้มากขึ้น
พม่าได้รับเสียงตอบรับจากสื่อตะวันตกตั้งแต่สำนักข่าว CNN ไปจนถึง Lonely planet และแม้กระทั่ง นิตยสาร Travel & Leisure ให้เป็นหนึ่งในประเทศที่น่าไปเยือนประจำปี 2012 อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวพม่าพร้อมที่จะเติบโตภายในสามปีข้างหน้า ถ้าระบบสาธารณูปโภคที่ยังขาดแคลนได้รับการพัฒนาให้เพียงพอกับความต้องการ
โองมิ้น รองผู้อำนวยการกระทรวงการท่องเที่ยวและโรงแรม กล่าวว่า “เราประมาณการไว้ว่า ในปี 2012 จะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามายังสนามบินนานาชาติย่างกุ้ง 5 แสนคน ส่วนปี 2015 เราคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวไว้ที่ 1 ล้านคน”
ทว่า ห้องพักในโรงแรมทั่วทั้งประเทศจำนวน 25,000 ห้อง (มีสภาพห้องที่สามารถรับนักท่องเที่ยวได้จริงแค่ 8 พันห้อง) รวมทั้งทางเลือกในการขนส่งมวลชนจากสนามบินที่ยังไม่เพียงพอ ทำให้พม่าเลือกเอาประเทศไทย ซึ่งมีนักท่องเที่ยวต่างชาติไปเยือนปีละประมาณ 15 ล้านคน เป็นประเทศต้นแบบในการเรียนรู้
เจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวของพม่ากล่าวว่า พวกเขาได้รับคำแนะนำจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยให้การพัฒนาในส่วนของการบริการ รวมถึงโครงการ “ Two Countries , one Destination” (สองประเทศ ปลายทางเดียว)ด้วย การเดินทางเข้าพม่า ส่วนใหญ่จะต้องพึ่งพาสนามบินนานาชาติกรุงเทพเป็นหลัก โองมิ้น กล่าว
พม่าและไทยมีจำนวนประชากรมากพอๆ กัน และนับถือศาสนาพุทธเป็นหลักเหมือนกัน แต่ก็มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ในแถบตอนเหนือ นอกจากนี้ ทั้งสองประเทศยังมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่า ภูเขาอุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การพักผ่อนและชายหาดอันสวยงามราวกับสรวงสวรรค์ ที่นักท่องเที่ยวต่างยอมทุ่มไม่อั้น
แต่ชายหาดในประเทศพม่าส่วนใหญ่นั้นนักท่องเที่ยวไม่สามารถไปได้ ไม่มีรีสอร์ทและสิ่งอำนวยความสะดวก ขณะที่หาดทรายสีขาวน้ำทะเลสีครามในประเทศไทยเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เจ็ตสกี เรือยอร์ชของมหาเศรษฐีที่ภูเก็ต ร้านค้าต่างๆ บาร์ สถานที่ท่องเที่ยวยามราตรี และความบันเทิงต่างๆ หาได้ไม่สิ้นสุด
เหนือขึ้นไปที่เกาะกลางทะเลอันดามันของพม่า ชาวบ้านท้องถิ่นยังคงดำรงชีวิตด้วยอาชีพชาวประมง ขณะที่หญิงชาวบ้านใช้เวลาในช่วงกลางวันไปกับการแร่ปลาและสานตะกร้าไม้ไผ่ ไม่ได้เปิดร้านอาหาร รับจ้างถักเปีย หรือบริการนวดให้นักท่องเที่ยวบนชายหาดแต่อย่างใด
แต่ก็นี่แหละ ที่เป็นธรรมชาติที่ยังบริสุทธิ์ที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างใฝ่ฝัน ในขณะที่พม่ามองเห็นความต้องการของนักท่องเที่ยวอยู่นั้น องค์กรเอ็นจีโอและบริษัทท่องเที่ยวก็กำลังเรียกร้องให้รัฐบาลรับประกันว่าจะเริ่มพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบและยั่งยืน พร้อมกับปกป้องระบบนิเวศน์ในพื้นที่ รวมถึงป้องกันไม่ไห้เกิดความผิดพลาดตามมาเหมือนประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย
“ภูเก็ตเคยรุ่งเรืองมาก่อน” รามอน บล็อกเกอร์หนุ่มกล่าวไว้ในหัวข้อการสนทนาเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมสามีภรรยาชาวอังกฤษสูงอายุคู่หนึ่งบนเกาะภูเก็ต “มาเฟีย ฆาตกรรม การทำร้ายเพื่อชิงทรัพย์ ขโมย ทุกอย่างร้ายแรงขึ้นทุกวัน”
สิ่งที่เกิดขึ้นอาจไม่ต่างกับเกาะสมุยและพัทยาที่ขึ้นชื่อเรื่องการขายบริการ จำนวนผู้ค้าบริการทางเพศทั่วประเทศมีอยู่ประมาณ 2 ล้านคน โดยเฉพาะพัทยาที่มีผู้ค้าบริการจำนวนมาก
หลายคนกำลังเป็นห่วงว่า นโยบายการท่องเที่ยวที่ควบคุมไม่อยู่ในพม่าจะนำไปสู่ปัญหาเรื่องโสเภณีและการเข้ามานักท่องเที่ยวในธุรกิจค้ากามได้
“มีบทเรียนหลายอย่างที่ค่อนข้างตรง” แอนเดรีย วาเลนติน จากองค์กรเอ็นจีโอด้านการท่องเที่ยวที่โปร่งใส กล่าว “ถ้าพม่าอยากมีโสเภณีมากกว่าพระสงฆ์ก็ให้ตามรอยการพัฒนาการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นประเทศไทย หวังว่าพม่าจะหลีกเลี่ยงมีเด็กกัมพูชาจำนวนกว่า 3 หมื่นคนในธุรกิจการท่องเที่ยวค้ากาม ซึ่งในจำนวนนั้นบางคนมีอายุแค่ 5 ปี ในปี 2009 องค์กร Terre des Hommes ได้ประมาณการว่า มีเด็กมากกว่า 7 หมื่นคนทั่วเอเชียถูกใช้ประโยชน์ในธุรกิจท่องเที่ยวค้ากาม ทั้งใน กัมพูชา อินโดนิเชีย ฟิลิปปินส์ และไทย ในกัมพูชา นักท่องเที่ยวอย่างว่าสามารถจ้างเด็ก 8 ขวบไปเป็นเวลา 3 วันโดยจ่ายค่าตัวไม่ถึง 30 ดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเด็กยากจน”
“ในประเทศอนุรักษ์นิยมอย่างพม่า ซึ่งเรื่องที่เกี่ยวกับการค้าบริการยังคงเป็นเรื่องที่ทำกันอย่างลับๆ มาก แต่ก็มีความจริงที่น่าเศร้าอยู่ว่า มันไม่ยากนักที่จะทำให้ธุรกิจการท่องเที่ยวค้ากามจะเติบโตได้ ธุรกิจแบบนี้จะนำเงินเข้าประเทศ สร้างรายได้ไม่น้อย ชุมชนจะใส่ใจเรื่องต้องห้ามอย่างนี้น้อยลง ทำให้ผู้หญิงและเด็กจะมีความเสี่ยงมากขึ้นที่จะถูกใช้ประโยชน์จากการค้ากาม”
ขณะที่นายหม่องหม่องส่วย ประธานสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวพม่าและรองประธานกรรมการการท่องเที่ยวพม่า ปฏิเสธความคิดดังกล่าว
“เรามีดิสโก้เธคและบาร์ไม่มาก คนพม่าไม่มีแนวโน้มว่าจะดื่มเยอะ ที่ไหนมีดิสโก้เธคและบาร์ ที่นั่นก็มีโสเภณี เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราก็ป้องกันได้” เขากล่าว
เจ้าหน้าที่ท่องเที่ยวพม่ากล่าวว่า พวกเขาต้องการให้มีนักท่องเที่ยวแบบอื่น อย่าง นักท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม มากกว่า
“เรามีประชาชนกว่า 130 ชนชาติ มีประเพณีที่แตกต่างกัน ภาษาต่างกัน และเครื่องแต่งกายที่ต่างกัน” หม่องหม่องส่วยกล่าว “ประเทศเราเป็นหนึ่งในประเทศที่มีวัฒนธรรมที่วิเศษที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และชาวพม่าต่างก็เป็นมิตรและสุภาพ เหมือนประเทศไทยเมื่อ 30 ปีก่อน”
พม่าเปรียบเหมือนดิสนีย์แลนด์ของพุทธศาสนิกชน ยอดเขาแทบทุกยอดต้องมีเจดีย์สร้างไว้ นับเป็นประเทศเดียวก็ว่าได้ที่สามารถแข่งขันกับไทยและอินเดียได้ในเรื่องของการทัวร์วัด
จากองค์เจดีย์ชเวดากองที่สุกสว่างเหนือท้องฟ้าเมืองย่างกุ้ง ไปจนถึงวัดพระมหามุนีในมัณฑเลย์ และก้อนหินศักดิ์สิทธิ์ทองอร่ามแห่งไจ้ทีโย ทำให้พม่ามีศักยภาพในการรองรับนักท่องเที่ยวศาสนนิกชนและนักแสวงบุญ ด้วยตารางการเยือนวัดและทำบุญที่ยาวเหยียด
นักท่องเที่ยวในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากประเทศจีนและไทย ซึ่งมักจะมากันเป็นกรุ๊ปทัวร์ ไม่นิยมช็อปปิ้งพวกหยกหรืออัญมณี แต่จะชอบไปไหว้พระทำบุญเสียมากกว่า
อาจกล่าวได้ว่า การท่องเที่ยวพม่าจะยังคงให้ความสำคัญกับศาสนาและวัฒนธรรมมากกว่าประเทศใดในภูมิภาคนี้ ไปจนกว่าจะถึงวันที่ ชายหาด การท่องราตรี และสาธารณูปโภคจะได้รับการพัฒนาจนสามารถเทียบกับไทยหรือแม้แต่เวียดนาม.
แปลจาก บทความ Beaches, Temples and Sex—Will Burmese Tourism Follow the Thai Model? โดย DAVID PAQUETTE จากIrrawaddy วันที่ 23 มีนาคม 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น