
ย่างกุ้ง ประเทศพม่า - เมื่อผู้คุมจากคุกที่ขึ้นชื่อว่าโหดที่สุดในพม่าได้บอกว่า "นี่เป็นการทรมาน" และขอให้เขาหยุด เถ่งลิน อดีตนักโทษการเมืองยิ้มให้กับบทบาทที่สลับกันไปแล้ว
หลายปีมาแล้ว ผู้คุมที่เรือนจำอื่นๆ ได้ทำร้ายร่างกายเขา แต่ตอนนี้ ศิลปินผู้นี้ กำลังบังคับให้ผู้เข้ารับการอบรม ห้ามพูด และมีสมาธิจดจ่อ ในช่วงเวลา 10 วันของการการฝึกสมาธิให้กับผู้คุม 94 คนที่เรือนจำอินเส่ง
อ่องนายอู นักศึกษาหัวขบถ เคยอุทิศตนให้กับการโค่นล้มผู้นำกองทัพพม่า ตอนนี้เขากำลังทำงานร่วมกับพวกเขาที่ศูนย์ที่เกี่ยวข้องกับสันติภาพที่ได้รับความร่วมมือจากรัฐบาลเพื่อยุติความขัดแย้งตามแนวชายแดน
ชายทั้ง 2 เป็นตัวอย่างของชาวพม่าที่ลี้ภัยออกนอกประเทศแล้วกลับมาหลังจากที่พม่าให้คำมั่นว่าจะเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบบเผด็จการทหารไปสู่ประชาธิปไตย

เมื่อประธานาธิบดีบารัก โอบามา เยือนพม่าในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บรรดานักศึกษาได้ต้อนรับเขาด้วยการชูป้ายที่มีข้อความว่า "การปฏิรูปเป็นสิ่งจอมปลอม"
"ถ้าไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ไม่ใช่การปฏิรูปที่แท้จริง" เถ่งลิน วัย 48 บอก เขากลับมาอยู่ประเทศพม่าอีกครั้งเมื่อปี 2013 หลังจากใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษนาน 7 ปี "เราไม่สามารถมีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้ และเราก็ไม่สามารถคาดหวังว่าถึงสังคมประชาธิปไตยได้"
"ผู้นำประเทศกำลังสร้างวัฒนธรรมการเจรจาเพราะพวกเขารู้ว่ามันจะมีปัญหาในอนาคต ที่ใครๆ ก็ทำ" อ่องนายอู กล่าว เขากลับมาประเทศพม่าเมื่อปี 2012 เขากล่วว่า ประชาธิปไตยที่ได้ผลต้องใช้เวลา 15 ปีขึ้นไป ดังนั้น ประชาชนต้องอดทนและลดคาดหวังลง
ประธานาธิบดีเต็งเส่ง "เขาไม่ใช่คนทำงานที่มีอภินิหาร" เขากล่าว "แม้ว่า (ผู้นำฝ่ายค้าน) นางอองซาน ซูจีจะเข้ามามีอำนาจในปีหน้า เธอก็ไม่ได้มีอภินิหารเช่นเดียวกัน"
นางอองซาน ซูจี เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพและประธานพรรคสันนิบาติประชาธิปไตยแห่งชาติหรือ NLD ถูกรัฐธรรมนูญขัดขวางไม่ให้เป็นประธานาธิบดีในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นปีหน้า
ที่สำนักงานใหญ่ของพรรค NLD ในกรุ่งย่างกุ้ง ผู้มาเยี่ยมเยือนจับจ่ายซื้อปฏิทิน แก้วน้ำ และเสื้อยืดที่มีรูปนางอองซาน ซูจี ซึ่ง 3 ปีที่แล้วของพวกนี้จะเป็นสิ่งที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะให้ความสนใจเป็นอย่างมาก
แม้ว่าพรรคของเธอจะได้รับความนิยมจากประชาชนอย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคำร้องพร้อมลายเซ็นต์จาก 5 ล้านคนที่เรียกร้องให้รัฐสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้นางอองซาน ซูจีสามารถดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีได้
"เราไม่สามารถบอกได้ว่า จะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนการเลือกตั้ง แต่เราก็จะไม่ยอมแพ้" เสนาธิการทหารบกกล่าวว่า เราจะก้าวเดินตามการเปลี่ยนแปลงเพื่อประชาธิปไตย ดังนั้น เราไม่กลัวว่าระบบประชาธิปไตยจะมีการผกผัน"
ในพื้นที่ชนบท ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ประชาชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ มักจะประสบกับความยากจน พวกเขาแสดงออกถึงความเคลือบแคลงทางการเมือง
"ผมไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะให้(พรรคเอ็นแอลดี)เข้ามามีอำนาจ" อูโองจ่อ วัย 67 ปีกล่าว เขาเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านในตำบลกูนยางโกงซึ่งใช้เวลาขับรถจากจากย่างกุ้ง 2 - 3 ชั่วโมง "ความเปลี่ยนแปลงเป็นแค่เปลือกนอก มาตรฐานการใช้ชีวิตในสังคมยังไม่พัฒนา"
เขายังคงคิดถึงความทรงจำในวัยเด็ก ช่วงที่พม่ายังเป็นประชาธิปไตย ก่อนการรัฐประหารเมื่อปี 1962 เขาหวังว่าจะได้เห็นประชาธิปไตยกลับมาอีกครั้งในชีวิตของเขา
นอกจากเส้นทางการเปลี่ยนแปลงสู่ประชาธิปไตยอันยาวนานที่ประเทศจะต้องเผชิญแล้ว ระบบสาธารณูปโภคที่ล้าหลังเป็นสิ่งจำเป็นหลักๆจะต้องได้รับการพัฒนา
โญโญเต่ง อดีตหมอผ่าตัดศัลยแพทย์หัวใจวัย 40 ปี กล่าวว่า ไฟฟ้าดับเกิดขึ้นถี่มากที่เมืองหลวงทางเศรษฐกิจ ในช่วงที่มีการผ่าตัดเปิดหน้าอก พยาบาลคนหนึ่งจะต้องเตรียมไฟฉายไว้พร้อมเสมอ ในขณะที่คนอื่นๆ จะต้องช่วยปั๊มออกซิเจนด้วยมือ "ทุกๆ อย่างกำลังล่มสลาย" เธอกล่าว "เราต้องเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ไม่อย่างนั้นก็หมดหวัง"

นี่คือที่ที่พลังทางดนตรีของเธอได้ก้าวเข้ามา "ฉันสามารถพาพวกเขาไปที่อื่นให้พ้นจากความทุกข์ได้ อย่างน้อยก็สองสามนาที" เธอกล่าว
"มันเหมือนมอร์ฟีน" สำหรับประชาชน โญโญเต่ง พูดติดตลก เธอเลิกอาชีพหมอเมื่อปีนี้หลังจากกระทรวงสาธารณะสุขเกิดกลัวภาวะ "สมองไหล" ออกจากประเทศ และห้ามไม่ให้เธอเดินทางไปต่างประเทศกับพ่อของเธอเพื่อเข้ารับการผ่าตัด
ตอนนี้เธอเป็นผู้จัดการส่วนตัวเต็มเวลาและเป็นคนออกแบบเสื้อผ้าให้กับน้องสาว รัฐบาลทหารพม่าไม่ได้ห้ามเธอออกสื่อโทรทัศน์อีกต่อไปแล้ว ในขณะที่อัลบั้มชุดต่อไปของเธอจะเปิดตัวก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งเธอรับรองว่าจะเป็นชุดที่เร้าใจที่สุด แต่เธอก็ยอมรับว่าพวกเขาให้ตรวจสอบสื่อด้วยตัวเอง
"คุณอาจหายตัวไปได้ทุกเวลา" โญโญเต่งกล่าวถึงความกลัวที่ยังมีต่อรัฐบาล "เรายังคงไม่ลืมภาพเหล่านั้น"
แปลจาก New lives, old fears as Burma lurches toward democracy
http://www.usatoday.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น