วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2558

กลุ่มมนุษยชนไทใหญ่แฉ ทหารพม่าฆ่าชาวบ้านในรัฐฉาน บังคับชาวบ้านต่อต้าน SSA

army-parade


มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนไทใหญ่(The Shan Human Rights Foundation) ได้ออกแถลงการณ์ เมื่อวันที่ 7 มกราคมที่ผ่านมา เปิดเผยว่า ทหารพม่าได้สังหารชายรายหนึ่งเสียชีวิต ที่เมืองยอง ทางภาคตะวันออกของรัฐฉาน นอกจากนี้ ยังบังคับเกณฑ์ชาวบ้านให้ออกมาประท้วงและต่อต้านกองทัพรัฐฉานใต้ RCSS/SSA


มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ได้ออกมาเปิดเผยว่า จายจ๋ามทิพย์ วัย 32 ปี ได้ถูกทหารพม่ายิงเสียชีวิตต่อหน้าพ่อแม่ เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา กำลังทหารพม่าได้เดินทางมายังบ้านของจายจ๋ามทิพย์และล้อมรอบบ้านเอาไว้ และได้เรียกตัวชายคนดังกล่าวออกจากบ้าน มีรายงานว่า ทันทีที่จายจ๋ามทิพย์ก้าวเท้าออกจากบ้านก็ถูกทหารพม่ายิงเสียชีวิตทันที


ขณะที่พบว่า ตัวของจายจ๋ามทิพย์นั้นมีอาการป่วยทางจิต และเคยเป็นทหารของกองทัพรัฐฉานใต้ RCSS/SSA ก่อนที่จะลาออกจากกองทัพไทใหญ่ ก่อนหน้านี้ 1 เดือน จ๋ามจ๋ามทิพย์ได้มีปัญหาขัดแย้งกับทหารในพื้นที่ หลังทหารพม่าก่อเหตุยิงจายทิพย์เสียชีวิต 2 วัน มีรายงานว่า กองทัพพม่าได้ออกคำสั่งให้ชาวบ้านทุกหลังคาเรือนในพื้นที่ต้องส่งตัวแทน 1 คน เพื่อไปร่วมชุมนุมประท้วงขับไล่และต่อต้านกองทัพไทใหญ่ RCSS/SSA โดยมีชาวบ้านมากกว่า 1200 คน จาก 66 หมู่บ้าน ในเขตเมืองยองถูกเกณฑ์ไปร่วมชุมนุมต่อต้านทหารไทใหญ่ โดยผู้ร่วมชุมนุมถูกบังคับให้ตะโกนประท้วงต่อต้านทหารไทใหญ่เป็นภาษาพม่า มีใจความว่า ให้กวาดล้างทหารไทใหญ่ออกไปจากพื้นที่


ทางด้าน มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ออกมาประนามการกระทำของกองทัพพม่า ที่บังคับให้ชาวบ้านโจมตีและกล่าวหาว่า ทหารไทใหญ่นั้นก่ออาชญากรรม ฆ่าสังหารผู้บริสุทธิ์ ทั้งที่ผู้ก่ออาชญากรรมตัวจริงคือกองทัพพม่า ซึ่งนี่ถือเป็นการละเมิดสิทธิและถือเป็นการดูถูกสติปัญญาและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของชาวบ้าน


มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนไทใหญ่ ยังกล่าวว่า การที่กองทัพพม่าออกมารณรงค์ให้ชาวบ้านต่อต้านกลุ่มติดอาวุธชนกลุ่มน้อยในครั้งนี้ ยังเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เพราะในขณะเดียวกันรัฐบาลพม่าอ้างว่า พยายามสร้างสันติภาพ และเจรจากับชนกลุ่มน้อยเพื่อนำไปสู่การลงนามหยุดยิงทั่วประเทศ ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง ขณะที่กองทัพ RCSS/SSA นำโดยเจ้ายอดศึกนั้นได้ลงนามหยุดยิงกับรัฐบาลเมื่อปี 2554 และเคลื่อนไหวอยู่ในเขตพื้นที่เมืองยอง


ขอบคุณภาพจาก AP

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น