วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ล่องเรือสู่มงดอว์

mongdaw




รัฐอาระกัน – เป็นเวลากว่า 5 ชั่วโมงในการลงเรือและต่อรถในช่วงสั้นๆ จากเมืองหลวงของรัฐอาระกันไปยังเมืองมงดอว์ ซึ่งเป็นเขตที่มีประชากรชาวมุสลิมอยู่เป็นจำนวนมาก พื้นที่ดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับรัฐบาลพม่าเป็นอย่างมาก หลังจากมีประชาชนจำนวนมากเสียชีวิตจากเหตุรุนแรงเมื่อเดือนที่ผ่านมา

 

เราออกจากซิตต่วยในตอนเช้าตรู่ โดยล่องเรือมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือตามแม่น้ำกะลาดาน บนเรืออัดแน่นไปด้วยผู้โดยสารจำนวนหลายร้อยคน เชื่อมต่อกับแม่น้ำเล มโร ที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นชาวอาระกันดั้งเดิม ทุกคนต่างมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามของชาวต่างชาติ ขณะที่องค์กรเอ็นจีโอนานาชาติพยายามเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าวแต่ก็ถูกปฏิเสธ

 

สำหรับความบันเทิงในการเดินทางครั้งนี้ มีการเปิดวิดีโอบันทึกรายการโทรทัศน์บนเรือ เป็นรายการแสดงธรรมะของพระสงฆ์อาวุโสรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่ม 969 กลุ่มที่เคลื่อนไหวเพื่อชาตินิยม ต่อต้านการแต่งงานระหว่างเชื้อชาติและรณรงค์ให้ชาวพม่าที่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธหลีกเลี่ยงการทำธุรกิจกับชาวมุสลิม

 sittwe


ผู้โดยสารบนเรือต่างนั่งฟังพระรูปนั้นที่พยายามเพื่อสร้างความหวาดกลัว โดยเตือนว่า ชาวชาวมุสลิมกำลังพยายามเพิ่มจำนวนประชากรชาวมุสลิมในประเทศให้มากขึ้น โดยส่วนหนึ่งจากการการแต่งงานกับผู้หญิงหลายๆ คนและมีลูกเยอะๆ “ดูอย่างปากีสถานสิ ในอดีตเคยเป็นพุทธ แต่ตอนนี้กลายเป็นประเทศมุสลิมไปแล้วเพราะมีจำนวนประชากรเยอะ เราต้องระวัง” พระรูปนั้นกล่าว

 

การใช้ถ้อยคำต่อต้านชาวมุสลิมถือเป็นเรื่องธรรมดาในรัฐอาระกัน โดยเฉพาะในปี 2012 เมื่อเกิดเหตุรุนแรงระหว่างชุมชนชาวพุทธกับมุสลิมสองครั้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวนหนึ่งและมีผู้พลัดถิ่นจำนวนกว่า 140,000 คน ผู้ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่เป็นชาวโรฮิงยา ซึ่งเป็นชาวมุสลิมที่ถูกแบ่งแยกเชื้อชาติอย่างรุนแรง เนื่องจากประชาชนในพื้นทีที่เป็นชาวพุทธต่างระบุว่า พวกเขาเป็นผู้เข้าเมืองมาอย่างผิดกฎหมายมาจากบังกลาเทศ แม้ว่าจำนวนมากจะมีบรรพบุรุษอาศัยอยู่ในพม่ามาหลายชั่วคนแล้วก็ตาม

 

“เรารู้สึกเหมือนกำลังจะทำสงครามกับพวกเขา เราได้ยินมาว่ากองกำลังของพวกเขาเคลื่อนไหวอยู่ตามแนวชายแดน และกำลังจะแผ่ขยายออกไป” เต่งทุนเอ ชาวอาระกันที่นับถือพุทธในเมืองซิตต่วยกล่าวถึง สิ่งที่รัฐบาลกล่าวหาว่าองค์กร Rohingya Solidarity Organization (RSO) ซึ่งเป็นกองกำลังของชาวมุสลิม ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการสังหารตำรวจนานหนึ่งในเมืองมงดอว์เมื่อเดือนที่แล้ว

 

ในเมืองซิตต่วย เมืองชายฝั่งที่มรประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 180,000 คน มีการแบ่งแยกระหว่างชาวพุทธกับชาวมสลิมตั้งแต่เหตุการณ์ความรุนแรงเมื่อปี 2012 มีชาวมุสลิมหลายคนถูกกักขังอยู่ในชุมชนแออัดที่เรียกว่า “อ่องมิงกลา” อ่องวิน นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนต้องจ่ายเงินให้กับเจ้าหน้าที่เมื่อที่จะเข้าไปเยี่ยมพ่อแม่ที่นั่น “ผมติดสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 2 หมื่นจั๊ตทุกครั้ง” เขาบอกกว่า บ้านของเขาอยู่ในซิตต่วยเช่นกัน

 sittwe2


จากในเมืองนั่งรถไปยังค่ายอพยพใช้เวลา 1 ชั่วโมง ประชาชนจำนวนหลายพันยังคงหลบภัยอยู่ในค่ายพักพิงหลังจากพลัดถิ่นที่อยู่เนื่องจากเหตุรุนแรง พวกเขาได้รับความช่วยเหลืออย่างจำกัดจากรัฐบาลและองค์กรนานาชาติ บางส่วนกล่าวว่า พวกเขาต้องหาเลี้ยงครอบครัวด้วยความยากลำบาก

 

“ที่นี่เรามีอาหารไม่เพียงพอ ฉันเป็นห่วงลูกๆ มาก” โซรา หญิงวัย 30 ปี กล่าว เธออาศัยอยู่ในค่ายอพยพเต็ดกะปยิน เธอบอกว่า เธอหวาดกลัวที่จะกลับบ้านในซิตต่วยและจะอยู่ในค่ายอพยพต่อไปแม้ว่าจะอยู่ในสภาพที่ลำบากมากก็ตาม

 

 

มงดอว์ ดูจะแตกต่างจากซิตต่วยมากในหลายๆ เรื่อง ซึ่งที่นี่ชาวพุทธเป็นประชากรส่วนน้อยถ้าเทียบกับชาวมุสลิม เมืองนี้เป็ฯที่รู้จักกันในนาม “ประตูทิศตะวันตก” ที่ชาวพุทธกล่าวว่าเป็นจุดที่ผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายเข้ามาทางนี้

 

 sittwe3


แม่น้ำหนึ่งสายแบ่งเขตแดนระหว่างสองประเทศ ชาวประมงโรฮิงยาต่างง่วนอยู่กับการลากอวนหาปลา

 

ในช่วงที่สำนักข่าวอิรวดีเดินทางไปที่นี่เมื่อช่วงต้นเดือน เด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งบอกว่า เขาหาเงินได้จากการจับปลาวันละ 2 พันจั๊ต (2 ดอลลาร์) และถ้าวันไหนโชคดีก็จะได้ก็ได้มากถึง 5 พันจั๊ต ซึ่งชาวประมงในกลุ่มนี้จำนวน 20 กว่าคน มีคนที่พูดภาษาพม่าได้แค่ 2 คน

 

รัฐบาลพม่าได้สร้างรั้วกั้นไม่ให้คนเข้ามาโดยผิดกฎหมาย โดยมีรั้วลวดหนามและตู้ยาม แต่ไม่ไกลจากจุดนี้ ลวดหนามถูกรื้อออกไป และมีหลุมขนาดใหญ่ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่เปิดเผยชื่อและไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปกล่าวว่า รั้วกั้นมีความยาวถึง 5 กิโลเมตร

 

เมื่อขึ้นจากเรือและเดินทางไปต่อด้วยรถมอเตอร์ไซค์ก็จะถึงเมืองมงดอว์ ซึ่งมีประชากรจำนวน 23,000 คน โดยในจำนวนนั้นเป็ฯชาวมุสลิม 20,000 คน เมื่อถึงเวลาละหมาด บรรดาผู้ชายที่ไว้หนวดเครา สวมเสื้อแขนยาวสีขาวก็พากันเดินเข้ามาในโบสถ์ ขณะที่ผู้หญิงสวมผ้าคลุมหน้าสีดำที่เผยให้เห็นแค่ลูกตา เมื่อช่วงต้นเดือน ในเมองดูเหมือนจะวุ่นวายแต่ก็เงียบสงบในเวลากลางวัน ส่วนในช่วงกลางคืน ถนนทุกสายมีแต่ความเงียบ หลังพระอาทิตย์ตกดิน อาจพบชาวพุทธออกมาเดินตามถนนบ้าง ในขณะที่ชาวมุสลิมจะอยู่แต่ในบ้าน

 

ความตึงเครียดก่อตัวขึ้นหลังจากมีเหตุความไม่สงบในหมู่บ้านดูชียาตาน ที่ใช้เวลาเดินทางโดยรถมอเตอร์ไซค์จากมองดอว์เป็นเวลา 45 นาที โดยหมู่บ้านดังกล่าวมีการกล่าวอ้างว่า มีชาวโรฮิงยามากกว่า 40 คนถูกสัวหารโดยกลุ่มมอ็อบชาวพุทธเมื่อเดือนที่ผ่านมา ข้อมูลจาก UNHCR ซึ่งรัฐบาลพม่าได้ออกมาปฏิเสธอย่างฉุนเฉียวเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่องค์กรแพทย์ไร้พรมแดน MSF ระบุว่า พวกเขาได้รักษาประชาชนจำนวน 22 คนที่ได้รับบาดเจ็บในหมู่บ่านดังกล่าวหลัวจากเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นแล้วหลายวัน

 

ขณะที่เจ้าหน้าที่ออกมาเตือนคนนอกไม่มห้เข้าไปยังหมู่บ้านดูชียาตานตามลำพัง

 

“พวกเขาไม่ไว้ใจใครนอกจากชาวมุสลิม ถ้าคุณจะเข้าไปข้างในหมู่บ้านนั้น มันจะเป็นอันตรายกับคุณ” เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไวโพซอว์ บอกกับนักข่าวอิระวดี และบอกว่า เขาต้องนำกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมอาวุธไม่น้อยกว่า 10 นายเข้าไปในพื้นที่หากมีเหตุต้องเข้าไปทำงานในพื้นที่ดังกล่าว

 

จาก A Boat Trip to Maungdaw โดย Lawi Weng

THE IRRAWADDY Thursday, February 20, 2014

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น