วันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

"ความรักสีม่วง" เผยชีวิตรักเกย์คู่แรกในพม่าที่กล้าจูงมือกันเข้าพิธีวิวาห์อย่างเปิดเผย

gays

ใครที่เลิกงานแล้วถึงบ้านก่อน ซึ่งหมายถึงกระท่อมไม้ไผ่หลังน้อยที่พวกเขาเรียกว่าบ้าน คนนั้นก็จะเป็นคนทำอาหารเย็น แต่ถ้าวันไหนที่เหนื่อยมาก พวกเขาก็จะพากันไปกินข้าวนอกบ้าน นี่คือกิจวัตรประจำวันของคู่รักคู่นี้

 

ติ่นโกโก และเมียวมินเท็ด ตกหลุมรักกันเมื่อ 10 ปีก่อน แต่ชายทั้งสองก็ต้องพบกับอุปสรรคในทันที ไม่ว่าจะเป็นการขัดขวางจากครอบครัว ปัญหาเรื่องเงิน หลังจากที่เริ่มต้นใช้ชีวิตด้วยกัน

 

ในวันนี้ ทั้งสองเตรียมฉลองครบรอบ 10 ปีความสัมพันธ์โดยการแต่งงานต่อหน้าบรรดาญาติมิตร ซึ่งจะเป็นงานแต่งงานของคู่รักชาวเกย์ที่จัดงานในที่สาธารณะของพม่าครั้งแรก แต่เรื่องสถานที่ยังคงถูกเก็บเป็นความลับ ในขณะที่คู่รักชายกับชายคู่อื่นที่แต่งงานมักจะจัดงานในสถานที่ส่วนตัวเนื่องจากสังคมยังมีทัศนคติในทางลบ ส่วนรัฐบาลเองแม้ไม่ได้ห้ามไม่ให้มีการแต่งงานของชาวเกย์ แต่ก็ไม่ได้อนุญาตอย่างเป็นทางการ ติ่นโกโก และเมียวมินเท็ด แม้จะกลัวว่าอาจมีคนที่ไม่เห็นด้วยเข้ามาขัดขวางงานแต่งงาน แต่พวกเขาก็ยังคงดูแฮปปี้ดี

 

"ไม่มีคำไหนจะสามารถบรรยายได้ว่าผมมีความสุขคแไหน ผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่า เขาจะทำอย่างนี้สำหรับวันครบรอบจของเรา ผมขอบคุณสำหรับของขวัญเซอร์ไพรส์" เมียงมินเท็ด กล่าว "ผมจะรอที่จะฉลองครบรอบ 20 ปี และ 25 ปี เชานเดียวกัน"

 

ในงานแต่งงาน พวกเขาจะสวมชุดสุทแบบยุโรปพร้อมกับลงชื่อในเอกสารเพื่อเป็นการประกาศความซื่อสัตย์ในความรักต่อหน้าพยาน "ผมดีใจที่สามารถทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนในสังคมของเราเคยทำมาก่อน" ติ่นโกโก บอก

 

เมื่อปี 2004 ติ่นโกโก ในขณะนั้นอายุ 28 ปี ออกจากงานก่อสร้างในเขตมะกวย ซึ่งเป็นที่ที่เขาได้พบกับเมียวมินเท็ดที่ตอนนั้นยังเป็นนักศึกษาวัย 18 ปี พวกเขาเป็นเพื่อนกันในตอนแรก แต่หลายวันผ่านไป หลังจากได้พบกันในช่วงกลางวันและได้พูดคุยกันจนหมดเปลือก พวกเขาก็ไม่มีความลับอะไรต่อกันอีกแล้ว "ความสัมพันธ์ของเราได้กลายเป็นความรักในเวลาไม่นาน พ่อแม่ของผมคิดว่าเราเป็นแค่เพื่อนกันที่รักกันเหมือนที่น้อง" เมียวมินเท็ด เล่า "เมื่อความรักของเราเติบโตขึ้น เราตัดสินใจที่จะสร้างครอบครัวร่วมกันและใชัชีวิตอยู่ในหลังคาเดียวกัน"

 

"เราสองคนแต่งตัวเหมือนผู้ชายและทำตัวเหมือนผู้ชายทั่วไป คนทั่วไปจึงไม่ได้มีปฏิกิริยากับเรา เราไม่ได้มีปัญหากับเพื่อนบ้าน" ติ่นโกโกกล่าว

 

ที่กระท่อมหลังน้อยในเขตดะกงเหนือของพวกเขามีโทรทัศน์เครื่องหนึ่งกับเครื่องซักผ้าเครื่องหนึ่ง "ทุกวันอาทิตย์ ผมจะช่วยเขาทำงานบ้าน ผ้าเขาทำกับข้าว ผมก็จะซักผ้าและกวาดบ้าน"

 

วันไหนถ้าเลิกงานเร็ว พวกเขามักจะไปดูหนังด้วยกันหรือไม่ก็ไปเดินเล่นที่ริมทะเลสาบอินยา

 

และเช่นเดียวกับคู่รักทั่วไป พวกเขาก็มีทะเลาะกันบ้าง

 

"ผมเป็นคนที่โมโหง่ายและขี้รำคาญ" ติ่นโกโก บอก "ถ้าผมเหนื่อย บางทีก็จะตะคอกใส่เขาบ้าง แต่เขาจะไม่หงุดหงิดง่ายๆ"

 

"หลังจากที่ได้อยู่ด้วยกันมาหลายปี เราก็เข้าใจกันมากขึ้น ผมรู้แล้วว่าเขาของอะไร ไม่ชอบอะไร ผมพยายามที่จะไม่ทำในสิ่งที่จะทำให้เขาเจ็บปวด และเขาก็ทำเหมือนที่ผมทำ"

 

ทั้งสองมีแผนว่าจะรับเด็กมาเลี้ยง

 

"เราทั้งสองต่างก็ยุ่งมากตอนนี้ จึงเป็นเรื่องในอนาคต เขาอยากได้ลูกผู้ชาย แต่ผมอยากได้เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงเท่าๆ กัน" เมียวมินเท็ด บอก

 

ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา พวกเขาต่างยอมรับว่า สิ่งที่ได้มาบางครั้งก็ต้องแลกกับความผิดหวัง ตอนที่เมียวมินเท็ดแยกจากครอบครัวที่เป็ฯชาวพุทธ มาอยู่กับติ่นโกโก เขาต้องทนขื่นขมกับคำประนามว่าเป็น "ความสัมพันธ์ที่ผิดธรรมชาติ"

จากญาติ แม้ว่าพ่อแม่ของเขาจะยอมรับได้แล้วก็ตาม ชาวพุทธมีความเชื่อว่า คนที่เกิดเป็นเกย์ในชาตินี้ คือคนที่กระทำชำเราผู้หญิงเมื่อชาติที่แล้ว "พวกเขารู้สึกอับอาย พวกเขาบอกว่าไม่เคยเห็นความสัมพันธ์อะไรแบบนี้มาก่อน"

 

เมื่องานก่อสร้างของติ่นโกโกสิ้นสุดลง 3 ปีหลังจากนั้น เขาได้กลับมาที่ย่างกุ้งอีกครั้งเมื่อหางานใหม่ จากนั้น 6 เดือน เมียวมินเท็ดจึงตามมาอยู่ด้วย

 

"เขาลงเรียนทางไกลที่มหาวิทยาลัย เขาต้องกลับไปสอบที่มะกวบ จากนั้นก็กลับมาที่ย่างกุ้ง" ติ่นโกโก บอก

 

ชีวิตในย่างกุ้งเมื่อปี 2007 นั้นลำบากมาก ทั้งคู่ตกงานและไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า "ผมไม่อยากเป็นภาระของพ่อแม่ ผมจึงทำงานเล็กๆ น้อยๆ เพื่อหาเงินประทังชีวิต ผมใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้งานทำที่มั่นคง"

 

ปัจจุบัน ติ่นโกโก ทำงานอยู่ที่ องค์กรคิงส์แอนควีนส์ ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานด้านสิทธิของ LGBT (กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ) ส่วนเมียวมินเท็ด เป็นเจ้าหน้าที่ด้านสุขภาพ LGBT ขององค์กรเอเญงมยิตตาร์

 

มีคนจำนวนไม่มากนักที่กล้าต่อสู้ให้หลุดพ้นเป็ฯอิสระจากอิธิพลของครอบครัวและทัศนคติที่ฝังรากลึกจากคนรอบข้าง

 

"เด็กผู้ชายอาจจะเริ่มรู้ถึงรสนิยมทางเพศของตัวเองเมื่ออายุ 12 13 หรือ 14 ปี พ่อแม่หรือพี่น้องอาจไม่ชอบที่พวกเขาแต่งตัวและมีท่าทางเหมือนผู้หญิง และมัดเขาไว้กับเสาและตี" ตอ่นโกโก หล่าว

 

"พ่อแม่บางคนก็ใช้วิธีการรุณแรงกับเด็กเมื่อเขาโตขึ้น พวกเขาจะบังคับให้แต่งงานกับผู้หญิง แม้ว่าพวกเขาจะยอมเชื่อเพราะกลัว แต่การแต่งงานก็จะล้มเหลวในที่สุด จะเหลือแค่แผลเป็นในใจสำหรับเขาและภรรยา"

 

"พวกเขาต้องกล้าที่จะถูกตัดสินและหางานที่มั่นคง เพื่อที่จะสามารถยืนอยู่บนขาของตัวเองได้และช่วยเหลือพ่อแม่ได้ แค่การมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีในสังคม เราก็จะสามารถเปลี่ยนทัศนคติที่ฝังลึกที่มีต่อพวกเราได้"

 

แสงอาทิตย์ในยามเช้าสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างบ้านหลังน้อยของพวกเขา ติ่นโกโก จบภาระงานบ้านด้วยการตักน้ำใส่ถัง ก่อนที่จะแบกกระเป๋าขึ้นพาดบ่า ล็อกประตู และเดินไปยังเมียวมินเท็ด ที่กำลังรอจะออกไปทำงานพร้อมกับเขา

 

จาก Myanmar gay couple says 'I do' โดย Zon Pann Pwint

Myanmar TImes 21 กุมภาพันธ์ 2557

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น