ยายได้ยินเสียงเครื่องจักรกำลังทำงาน พลางเอามือควานไปในอากาศเพื่อหาถ้วยน้ำชาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
“ยาย ถ้วยน้ำชาจะหกหมดแล้ว ไม่ซื้อให้อีกแล้วนะ ถ้วยวางอยู่ด้านหลัง แต่ยายกลับคลำหาที่อื่น”
ทเวหยี่บอก เธอไว้ผมสั้น นั่งส่องกระจกสี่เหลี่ยมบานเล็กๆ แล้วบรรจงแต่งแต้มเครื่องหอมลงบนใบหน้า ส่วนยายก็จ้องมองมาตามเสียงนั้นด้วยดวงตาที่มองไม่เห็น เป็นเพราอะไรทเวหยี่จึงได้ใจหวั่นกับสายตาที่มองมาอย่างนั้น “เฮ้! นังทเวหยี่ ข้ารู้หรอกว่า ถ้วยน้ำชาวางอยู่ตรงไหน เอ็งไม่ต้องมาแนะข้า”
ในตอนนั้น ยายก็คลำเจอถ้วยเคลือบใบเล็กเก่า ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ จึงใช้มืออันเหี่ยวย่นจับปากถ้วยเอาไว้ แล้วสอดนิ้วชี้ลีบๆ ไปที่หูของถ้วย จากนั้นก็ยกพรวดขึ้นมาดื่ม รสชาดของน้ำชาไม่ถูกปาก จึงเบ้หน้าก่อนจะวางถ้วยน้ำชากลับคืนลงบนโต๊ะ
“โอ๊ย...รสชาดน้ำชาแย่มาก แย่ยิ่งกว่าฉี่ของวัวเสียอีก นี่...นังทเวหยี่ ซื้อน้ำชานี้มาจากร้านข้างทางตรงหัวหมู่บ้านใช่ไหม”
หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากถนนใหญ่ประมาณสองร้อยก้าว แต่ยังคงมีไม้ใหญ่ปกคลุมร่มครึ้ม ยายนึกถึงน้ำชาหวานๆ ชงใส่นมวัว มีไขนมจับตัวกันแน่นอยู่บนผิวน้ำชา
ทเวหยี่กำลังหวีผมสั้นๆของเธอด้วยหวี มือขวาก็คลำจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งสอดไว้ตรงซอกเสื้อชั้นใน จดหมายนั้นถูกพับไว้จนแข็ง ทเวหยี่เบ้ปากใส่ยาย
“ยายก็...ในหมู่บ้านเคยมีร้านน้ำชาเมื่อไรกันล่ะ ก็ต้องเป็นน้ำชาจากร้านที่อยู่ริมข้างทางตรงหัวหมู่บ้านนะสิ”
พูดจบ ทเวหยี่ก็หวีผมต่อ
“เออใช่... แล้วซื้อจากร้านด้านหน้าหรือร้านด้านหลังล่ะ”
“ซื้อจากร้านด้านหลังน่ะสิ”
ทเวหยี่หันหลังให้ยาย แล้วก็ยื่นหน้าเข้าใกล้มองริมฝีปากสีชมพูอันอวบอิ่มของเธอ เธอใช้นิ้วถูริมฝีปากเบา ๆ แล้วเลื่อนลิ้นมาเลียริมฝีปากบน
“ใครชงน้ำชา...งะ-มยิ่งหรอ”
ทเวหยี่หันขวับไปทางยาย
“คนที่ชื่อ งะ-มยิ่ง ตายไปตั้งนานแล้ว”
“เฮ้ย... งะมยิ่งเป็นคนแข็งแรง แล้วตายไปตั้งเมื่อไรเหรอ บอกข้ามาสิว่า เป็นอะไรตาย”
“ถ้าจะต้องเล่าตั้งแต่ต้น เรื่องคงไม่จบหรอก”
ทเวหยี่เบื่อที่จะเล่าเรื่องซ้ำ ๆ ให้ยายฟัง
ฝ่ามืออันหยาบกร้านของยายค่อย ๆ เคลื่อนไปบนโต๊ะเก่าซอมซ่อ
“นี่ บอกมาสิ งะ-มยิ่งเป็นอะไรตาย”
“ปีที่แล้ว ช่วงมะม่วงออกผล เขาปีนขึ้นไปบนต้นเพื่อปลิดมะม่วง แต่กิ่งมะม่วงเกิดหัก จึงตกลงมาหัวฟาดพื้นตายคาที่”
“งะ-มยิ่ง ขายน้ำชา แล้วทำไมกลายเป็นคนเก็บมะม่วงไปได้ล่ะ”
“ฉันเองก็ไม่รู้หรอกยาย”
ทเวหยี่กระทืบเท้า แล้วเดินเข้าไปในครัว ยายชำเลืองมองตามเสียงฝีเท้าของทเวหยี่ไป
เสียงเครื่องจักรจากเกาะด้านเหนือของหมู่บ้านดังอื้ออึงชัดเจน ยายเหม่อมองไปที่เสียงเครื่องจักร ขณะที่ใช้มือเสยผมขาวที่ดูบางตา ผิวหน้าของยายดูเหมือนโขดหินที่ถูกคลื่นซัด มุมปากแห้งกร้านลามขึ้นไปด้านบนแก้ม
“แล้วแปลงถั่วลิสงบนเกาะจะเป็นยังไงล่ะ ทเวหยี่”
ยายตะโกนถามเข้าไปในครัว
“ก็มีทั้งแปลงถั่วลิสงและแปลงข้าวโพดนะแหละ ยาย”
ยายเคย เดินข้ามคลองที่น้ำลึกถึงหัวเข่าไปยังเกาะ และอาบน้ำ ซักผ้าที่บนหาดทรายฝั่งโน้น แล้วเลยเข้าไปหักข้าวโพดในไร่และถอนถั่วลิสงมาต้มกิน ไปเด็ดแตงโมที่เกลื่อนกลาดเต็มพื้นทรายมาผ่ากิน แล้วปลูกกระท่อมชั่วคราวด้วยไม้ไผ่ลำเล็ก ๆ มุงหลังคาด้วยผ้าจากเมืองโหม่งหยั่ว จากนั้นก็นอนหลับสักงีบหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาก็มองไปตามแนวภูเขาสีคราม เหม่อมองไปที่ก้อนเมฆ นึกแล้วคิดถึงสิ่งเหล่านี้ซะเหลือเกิน
“ตอนนี้ บนเกาะนั้น ทำอะไรกันอยู่นะ”
“กำลังทำประตูน้ำกั้นอยู่มั้ง ตอนที่ฉันไปดู เห็นเขากำลังขุดร่องลึกอยู่ แต่ทราย ตม ตะกอนดินกลับพังลงไปในร่อง ถ้าไม่รู้ว่างานจะเสร็จได้เมื่อไร ก็ได้แต่ทำไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ”
ทเวหยี่เดินกลับออกมาจากครัวแล้วตรงมาที่โต๊ะของยายพร้อมกับพูดเสียงดัง ทั้งๆที่จริงแล้วนั้น ครัวกับโต๊ะของยายอยู่ไม่ไกลกันนัก และใช่ว่าบ้านของเขานั้นจะใหญ่โต ทเวหยี่หยุดยืนใกล้ๆโต๊ะ แล้วเหม่อมองไปยังหน้าบ้าน
“แล้วจะข้ามคลองที่อยู่ติดกับด้านเหนือของหมู่บ้านไปได้อย่างไร”
“ก็ถมคลองไปเลยล่ะสิ”
ยายผงกหัวแสดงความเห็นด้วย แล้วเหลือบไปมองช่อดอกผักตบชวาสีม่วงบานอยู่ท่ามกลางกอผักตบชวาสีเขียวสดลอยบนผิวน้ำในคลองด้านเหนือของหมู่บ้าน ตรงท่าเรือตรงนี้เมื่อก่อนมักจะมีแพจากทางเหนือหรือ เรือขายโอ่งลงยามาจอด หวนคิดถึงสมัยที่ยายเป็นเด็กได้เป็นเพื่อนกับครอบครัวที่อยู่บนเรือที่ยายมักจะขึ้นไปบนเรือสัมปั้นแล้วซื้อโอ่งลงยา ลูกตาล ครกและอ่าง บนเรือสัมปั้นนั้นมีหมามาด้วย บางครั้งหมาของยายกับหมาบนเรือมักกัดกันจนสุดท้ายหมาทั้งสองตัวตกลงไปในน้ำดังตูม ซ้ำยังไล่กัดกันต่อในน้ำอีก ช่างเป็นหมานักสู้ กัดเก่งจริง ๆ
“ถ้าอย่างงั้น แม่น้ำอิรวดีก็ต้องอยู่ที่ด้านตะวันตกของหมู่บ้านละสิ แล้วจะไม่ไหลเข้ามาคลองข้างๆหมู่บ้านของเราแล้วเหรอ แล้วปีหนึ่งๆน้ำจะไหลเข้ามาในหมู่บ้านอีกหรือเปล่า”
ยายถามด้วยความสนใจ
“น้ำจะไหลเข้าหรือไม่ไหลเข้าอันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
ทเวหยี่ตอบกลับยายไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ น้ำเหรอ...ยายดูจะมีความสุขกับการที่มีน้ำไหลเข้ามาในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่น้ำเริ่มไหลเข้ามาจากบริเวณวัดหัวหมู่บ้าน หรือตอนที่น้ำเข้ามาถึงหมู่บ้านภายในคืนเดียว ยายก็ต้องขนย้ายข้าวของจากใต้ถุนบ้าน หากตอนน้ำขึ้น ก็จะทำสะพานชั่วคราวที่เดินได้เพียงแถวเรียงหนึ่งสำหรับข้ามไปมาระหว่างหมู่บ้านด้านหน้าและด้านหลัง โดยเอาแผ่นไม้ยาวมาวางพาดบนเสา หากน้ำในแม่น้ำ
อิรวดีค่อย ๆ เพิ่มขึ้น พวกยายก็ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ถ้าน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อไรสะพานไม้ชั่วคราวที่ทำไว้ก็จะลอยไปกับน้ำ บรรดาเด็กหนุ่มในหมู่บ้านก็จะพากันว่ายน้ำไปกู้พื้นไม้สะพานกลับมาวางพาดไว้ที่วัด
ที่วัดตรงหัวหมู่บ้านมีเรือลำป้อม ๆ อยู่ลำหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า “ชเหว่-มแย้ะโลง(ดวงตาสีทอง)” เรือลำนี้ทำจากเสาราชวังของพระราชา แล้วปิดทองลงบนดวงตานูน ๆ ด้านหน้าของเรือ ยายเองไม่เคยโดยสารเรือลำนี้หรอก ว่ากันว่าผู้หญิงไม่สมควรขึ้น ตอนเช้า ๆ เณรจะใช้ไม้พายยาว ๆ พายเรือออกมาบิณฑบาตกันอย่างทุลักทุเล ส่วนยายก็เอาเรือสัมปั้นออกมาอุดชันยาแล้วพายออกจากบ้านไป งูแมวเซาที่มากับน้ำยังแอบมานอนขดอยู่ที่ปลายกิ่งมะปราง
“แม้หมู่บ้านของพวกเราจะอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ แต่ก็ไม่มีใครทำอาชีพประมงเลยสักคน และแม้จะมีรังผึ้งห้อยระย้าอยู่ตามต้นมะม่วง ต้นมะปราง ต้นบุนนาค และต้นงิ้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครตีเอารังลงมา คนในหมู่บ้านของเราไม่มีนิสัยที่ชอบทำลายรังนกเพื่อเอาไข่ของมัน”
ยายพูดราวกับฝัน
“ยาย พูดอะไรอยู่หรือ”
ทเวหยี่ลากเก้าอี้มานั่งใกล้กับยาย รินน้ำชาใส่ถ้วย แล้วยกไปแนบกับริมฝีปาก จากนั้นก็เป่าเบาๆ
“นี่..ทเวหยี่ น้ำชาไม่ร้อนสักหน่อย เอ แต่เดี๋ยวก่อน...หากหมู่บ้านของเรามีไฟฟ้าสว่างไสว ราคาเทียนไขคงจะถูกลง สมัยก่อน เราจุดตะเกียงโป๊ะตอนกลางคืนแล้วทอผ้ากัน และไม่เคยมีรถยนต์เข้าถึงหมู่บ้านสักคัน แต่ถ้าต่อไปภายหน้ารถยนต์จากสนามบินนานาชาติผ่านหมู่บ้านของเรา พวกหล่อนคงจะโบกมือเรียกรถเพื่อเดินทางไปเมืองมัณฑะเลได้อย่างสบาย”
เสียงทอผ้าจากหมู่บ้านวันนี้ฟังราวกับว่าหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง วันนี้ยายไม่ได้ยินเสียงโก่ตะโย้ะ(ใช้เรียกคนพม่าผิวขาว) ร้องเพลงในขณะที่ทอผ้า ได้ยินเพียงเสียงของเครื่องจักรเท่านั้น จะพูดไปแล้ว หูยายนับว่ายังใช้การได้ดีทีเดียว เครื่องจักรนั้นมีพละกำลังมากและดูเหมือนว่าพวกมันกำลังทำหน้าที่ตามคำสั่ง เสียงของเครื่องจักรราวกับรูปร่างของมันซึ่งใหญ่โตโอ้อวดสายตาคน
“รถคันใหญ่ที่ยายว่าน่ะ บรรทุกชาวต่างชาติมาเต็มคันรถเลย ถ้าฉันไปโบก รถจะหยุดให้ไหมล่ะยาย”
น้ำเสียงของทเวหยี่คราวนี้ไม่เพียงแต่จะไม่แสดงความหยาบคายกับยาย แต่กลับดูอบอุ่น
ยายคาบบุหรี่ขี้โย แล้วจุดไฟแช็คด้วยหัวแม่มือ เมื่อเกิดเปลวไฟ ยายก็เอาบุหรี่มาต่อ ยายดูจะพึงพอใจกับการที่ได้สูบบุหรี่ และยังคงสูบมันต่อไปเรื่อยๆ
ใบหน้าเหี่ยวย่นของยายที่ค่อนข้างหมอง และดูยิ่งหมองขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ท่ามกลางควันบุหรี่ แม้ว่าจะไม่อาจรับรสของชาจากแก้วเคลือบใบเล็กๆก็ตาม แต่ยายก็ยกชาดื่มจนหมดเกลี้ยง
เมื่อดื่มชาจนหมด ยายก็หันกลับมาสูบบุหรี่ที่เหลือมวนนั้นต่อ ใบหน้ายิ้มกริ่มท่ามกลางควันบุหรี่ คล้ายกับยายกำลังย้อนกลับไปในอดีตพร้อมๆกับควันบุหรี่เหล่านั้น ยายกำลังมองดูนกเขาตัวเล็กสองตัวที่เกาะอยู่ท่ามกลางเถาไม้เลื้อย ในขณะที่เดินไปตามริมคลองฝ่าเท้ายายก็โดนหนามหญ้าเกี่ยว เหล่านกกินปลีตัวเล็กๆ ที่อยู่บนต้นไม้ช่างดูน่ารักนัก ยายที่เดินหายวับไปกับควันบุหรี่ กลับเข้ามาบนเรือนเล็ก ๆ อีกครั้ง ทเวหยี่ก็กำลังหุงข้าวพร้อมกับครวญเพลงไปพลาง
ขณะที่ทเวหยี่กำลังตั้งหม้อข้าวใบเล็กๆบนเตาอยู่ ใจก็เต้นระรัวเมื่อจู่ๆ เกิดคิดถึงแฟนขึ้นมา พลางเอามือคลำจดหมายเล็กๆที่พับอยู่บริเวณหว่างอกอย่างร้อนรน ไม่รู้เลยว่าเช้านี้ เธอลูบคลำจดหมายแฟนที่ตรงอกไปแล้วกี่ครั้ง น่าจะเป็นจดหมายที่พวกเขานัดพบกันที่ใต้ต้นไทรคืนนี้อย่างแน่นอน
ถ้าหากแอลดิสัน(ยี่ห้อหลอดไฟ)และเฮนรี่ ฟอร์ด (ยี่ห้อเครื่องจักร) เข้ามา แล้วจะอยู่กันอย่างไร หากหมู่บ้านเล็กๆกลายเป็นเมือง ยายกับทเวหยี่จะตอบโต้กับเมืองใหม่นี้อย่างไร
“เขาสองคนหลบอยู่ใต้ต้นไม้ เพียงเพราะไม่กล้ามองแสงจันทร์”(เป็นท่อนเพลงที่ทเวหยี่ร้อง)
ทเวหยี่กำลังจินตนาการถึงเพลงรักแสงจันทร์ท่ามกลางเหล่าต้นไม้ใบไม้ และใบหน้าของคนรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นไปไม่ได้ที่แอนดิสันและแฮนรี่ฟอร์ดจะรู้สึกได้ถึงรสชาดความมันของลูกสมอหรือความเปรี้ยวของมะปรางสุกได้ แม้มะม่วงที่อยู่ในวัดแม้จะผลเล็กแต่ก็มีรสหวาน เขามักจะเก็บผลที่หล่นลงมาจากต้นยามต้องลมฝนมาฝากเธอเสมอ จนเธอเผลอคิดไปว่า เมื่อไหร่จะได้อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยซะที
ทันที่ที่ได้ยินเสียงของเครื่องจักร ฝันเฟื่องเรื่องความรักของเธอก็แตกสลายไปทันที แต่ไม่เป็นไร ทเวหยี่นั้นมีความฝันอยู่มากมาย ถึงแม้จะแตกสลายไปบ้างแล้วก็ตาม แต่เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นมาอีก ไม่จำเป็นต้องเสียใจอะไร แม่ของทเวหยี่ซึ่งไปขายพวงมาลัยบริเวณข้างบันไดมุขด้านเหนือของเจดีย์ยังไม่กลับมาเลย เมื่อแม่กลับมาก็ใช่ว่าจะบอกให้แม่รู้ได้ จะต้องเก็บงำมันเอาไว้ในใจ
“นี่ ทเวหยี่”
ยายตะโกนเอิ้นเรียกทเวหยี่จากบริเวณโต๊ะ
“อะไรยาย ตะโกนตกอกตกใจ นี่...หม้อข้าวจะเดือดแล้ว”
ทเวกยี่ออกอาการเคืองกับเสียงของยายที่มาทำลายความฝันของเธอ
“นี่ แล้ววันนี้ เอ็งจะทอผ้าหรือเปล่า”
ทเวหยี่แวบคิดไปถึงแบบของลายผ้าไหมซึ่งเป็นพื้นสีเหลืองเหลือบม่วงที่ยังทอไม่เสร็จ
“ทอสิยาย เดี๋ยวหุงข้าวให้สุกก่อนแล้วจะไป”
“นี่ พวกแม่หนูที่กำลังขนดินบนเกาะด้านโน้น น่าจะได้เงินเยอะนะ แล้วเอ็งไม่ไปขนกับเขาบ้างเหรอ”
“ก็บอกแล้วว่า ฉันหุงข้าวเสร็จก็จะไปทอผ้า ยายนี่...พูดไม่รู้เรื่องเลย”
“นี่.. แต่มันได้เงินเยอะนะ”
“ได้เงินเยอะขนาดไหนก็ไม่ไปหรอก ฉันจะทอผ้าอย่างเดียว”
แล้วทั้งยายและทเวหยี่ก็ได้ยินเสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังซู่ดังมาจากต้นไทรหลังบ้าน
“นี่... ทเวหยี่ ต้นไทรหลังบ้านของเรายังอยู่เลยนะ”
ทเวหยี่ไม่ได้ตอบยายกลับไปสักคำ ดวงตาของยายมองไม่เห็นการนัดพบกับคนรักทุกคืนที่ใต้ต้นไทร แต่หัวใจของทเวหยี่มองเห็นภาพที่ยายมองไม่เห็นอยู่ตลอดเวลา
หัวใจของทเวหยี่เต้นตึกตัก เธอเอามือลูบคลำจดหมายที่พับซ่อนไว้ตรงหว่างอกหลายครั้งหลายครา เสียงลมพัดแทรกผ่านใบไม้เหล่านั้นจะใช่เสียงเพลงแห่งรักหรือเปล่านะ แต่เสียงเครื่องจักรมันอยู่บนเกาะฝั่งโน้นนี่นา
จากนิตยสารชเหว่-อะมยุ่-เต่-แม็กกาซีน
เดือนตุลาคม 1997
เพลงรักใบไม้ใต้แสงจันทร์
ยายได้ยินเสียงเครื่องจักรกำลังทำงาน พลางเอามือควานไปในอากาศเพื่อหาถ้วยน้ำชาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ
“ยาย ถ้วยน้ำชาจะหกหมดแล้ว ไม่ซื้อให้อีกแล้วนะ ถ้วยวางอยู่ด้านหลัง แต่ยายกลับคลำหาที่อื่น”
ทเวหยี่บอก เธอไว้ผมสั้น นั่งส่องกระจกสี่เหลี่ยมบานเล็กๆ แล้วบรรจงแต่งแต้มเครื่องหอมลงบนใบหน้า ส่วนยายก็จ้องมองมาตามเสียงนั้นด้วยดวงตาที่มองไม่เห็น เป็นเพราอะไรทเวหยี่จึงได้ใจหวั่นกับสายตาที่มองมาอย่างนั้น“เฮ้! นังทเวหยี่ ข้ารู้หรอกว่า ถ้วยน้ำชาวางอยู่ตรงไหน เอ็งไม่ต้องมาแนะข้า”
ในตอนนั้น ยายก็คลำเจอถ้วยเคลือบใบเล็กเก่า ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ จึงใช้มืออันเหี่ยวย่นจับปากถ้วยเอาไว้ แล้วสอดนิ้วชี้ลีบๆ ไปที่หูของถ้วย จากนั้นก็ยกพรวดขึ้นมาดื่ม รสชาดของน้ำชาไม่ถูกปาก จึงเบ้หน้าก่อนจะวางถ้วยน้ำชากลับคืนลงบนโต๊ะ
“โอ๊ย...รสชาดน้ำชาแย่มาก แย่ยิ่งกว่าฉี่ของวัวเสียอีก นี่...นังทเวหยี่ ซื้อน้ำชานี้มาจากร้านข้างทางตรงหัวหมู่บ้านใช่ไหม”
หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากถนนใหญ่ประมาณสองร้อยก้าว แต่ยังคงมีไม้ใหญ่ปกคลุมร่มครึ้ม ยายนึกถึงน้ำชาหวานๆ ชงใส่นมวัว มีไขนมจับตัวกันแน่นอยู่บนผิวน้ำชา
ทเวหยี่กำลังหวีผมสั้นๆของเธอด้วยหวี มือขวาก็คลำจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งสอดไว้ตรงซอกเสื้อชั้นใน จดหมายนั้นถูกพับไว้จนแข็ง ทเวหยี่เบ้ปากใส่ยาย
“ยายก็...ในหมู่บ้านเคยมีร้านน้ำชาเมื่อไรกันล่ะ ก็ต้องเป็นน้ำชาจากร้านที่อยู่ริมข้างทางตรงหัวหมู่บ้านนะสิ”
พูดจบ ทเวหยี่ก็หวีผมต่อ
“เออใช่... แล้วซื้อจากร้านด้านหน้าหรือร้านด้านหลังล่ะ”
“ซื้อจากร้านด้านหลังน่ะสิ”
ทเวหยี่หันหลังให้ยาย แล้วก็ยื่นหน้าเข้าใกล้มองริมฝีปากสีชมพูอันอวบอิ่มของเธอ เธอใช้นิ้วถูริมฝีปากเบา ๆ แล้วเลื่อนลิ้นมาเลียริมฝีปากบน
“ใครชงน้ำชา...งะ-มยิ่งหรอ”
ทเวหยี่หันขวับไปทางยาย
“คนที่ชื่อ งะ-มยิ่ง ตายไปตั้งนานแล้ว”
“เฮ้ย... งะมยิ่งเป็นคนแข็งแรง แล้วตายไปตั้งเมื่อไรเหรอ บอกข้ามาสิว่า เป็นอะไรตาย”
“ถ้าจะต้องเล่าตั้งแต่ต้น เรื่องคงไม่จบหรอก”
ทเวหยี่เบื่อที่จะเล่าเรื่องซ้ำ ๆ ให้ยายฟัง
ฝ่ามืออันหยาบกร้านของยายค่อย ๆ เคลื่อนไปบนโต๊ะเก่าซอมซ่อ
“นี่ บอกมาสิ งะ-มยิ่งเป็นอะไรตาย”
“ปีที่แล้ว ช่วงมะม่วงออกผล เขาปีนขึ้นไปบนต้นเพื่อปลิดมะม่วง แต่กิ่งมะม่วงเกิดหัก จึงตกลงมาหัวฟาดพื้นตายคาที่”
“งะ-มยิ่ง ขายน้ำชา แล้วทำไมกลายเป็นคนเก็บมะม่วงไปได้ล่ะ”
“ฉันเองก็ไม่รู้หรอกยาย”
ทเวหยี่กระทืบเท้า แล้วเดินเข้าไปในครัว ยายชำเลืองมองตามเสียงฝีเท้าของทเวหยี่ไป
เสียงเครื่องจักรจากเกาะด้านเหนือของหมู่บ้านดังอื้ออึงชัดเจน ยายเหม่อมองไปที่เสียงเครื่องจักร ขณะที่ใช้มือเสยผมขาวที่ดูบางตา ผิวหน้าของยายดูเหมือนโขดหินที่ถูกคลื่นซัด มุมปากแห้งกร้านลามขึ้นไปด้านบนแก้ม
“แล้วแปลงถั่วลิสงบนเกาะจะเป็นยังไงล่ะ ทเวหยี่”
ยายตะโกนถามเข้าไปในครัว
“ก็มีทั้งแปลงถั่วลิสงและแปลงข้าวโพดนะแหละ ยาย”
ยายเคย เดินข้ามคลองที่น้ำลึกถึงหัวเข่าไปยังเกาะ และอาบน้ำ ซักผ้าที่บนหาดทรายฝั่งโน้น แล้วเลยเข้าไปหักข้าวโพดในไร่และถอนถั่วลิสงมาต้มกิน ไปเด็ดแตงโมที่เกลื่อนกลาดเต็มพื้นทรายมาผ่ากิน แล้วปลูกกระท่อมชั่วคราวด้วยไม้ไผ่ลำเล็ก ๆ มุงหลังคาด้วยผ้าจากเมืองโหม่งหยั่ว จากนั้นก็นอนหลับสักงีบหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาก็มองไปตามแนวภูเขาสีคราม เหม่อมองไปที่ก้อนเมฆ นึกแล้วคิดถึงสิ่งเหล่านี้ซะเหลือเกิน
“ตอนนี้ บนเกาะนั้น ทำอะไรกันอยู่นะ”
“กำลังทำประตูน้ำกั้นอยู่มั้ง ตอนที่ฉันไปดู เห็นเขากำลังขุดร่องลึกอยู่ แต่ทราย ตม ตะกอนดินกลับพังลงไปในร่อง ถ้าไม่รู้ว่างานจะเสร็จได้เมื่อไร ก็ได้แต่ทำไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ”
ทเวหยี่เดินกลับออกมาจากครัวแล้วตรงมาที่โต๊ะของยายพร้อมกับพูดเสียงดังทั้งๆที่จริงแล้วนั้น ครัวกับโต๊ะของยายอยู่ไม่ไกลกันนัก และใช่ว่าบ้านของเขานั้นจะใหญ่โต ทเวหยี่หยุดยืนใกล้ๆโต๊ะ แล้วเหม่อมองไปยังหน้าบ้าน
“แล้วจะข้ามคลองที่อยู่ติดกับด้านเหนือของหมู่บ้านไปได้อย่างไร”
“ก็ถมคลองไปเลยล่ะสิ”
ยายผงกหัวแสดงความเห็นด้วย แล้วเหลือบไปมองช่อดอกผักตบชวาสีม่วงบานอยู่ท่ามกลางกอผักตบชวาสีเขียวสดลอยบนผิวน้ำในคลองด้านเหนือของหมู่บ้าน ตรงท่าเรือตรงนี้เมื่อก่อนมักจะมีแพจากทางเหนือหรือ เรือขายโอ่งลงยามาจอด หวนคิดถึงสมัยที่ยายเป็นเด็กได้เป็นเพื่อนกับครอบครัวที่อยู่บนเรือที่ยายมักจะขึ้นไปบนเรือสัมปั้นแล้วซื้อโอ่งลงยา ลูกตาล ครกและอ่าง บนเรือสัมปั้นนั้นมีหมามาด้วย บางครั้งหมาของยายกับหมาบนเรือมักกัดกันจนสุดท้ายหมาทั้งสองตัวตกลงไปในน้ำดังตูม ซ้ำยังไล่กัดกันต่อในน้ำอีก ช่างเป็นหมานักสู้ กัดเก่งจริง ๆ
“ถ้าอย่างงั้น แม่น้ำอิรวดีก็ต้องอยู่ที่ด้านตะวันตกของหมู่บ้านละสิ แล้วจะไม่ไหลเข้ามาคลองข้างๆหมู่บ้านของเราแล้วเหรอ แล้วปีหนึ่งๆน้ำจะไหลเข้ามาในหมู่บ้านอีกหรือเปล่า”
ยายถามด้วยความสนใจ
“น้ำจะไหลเข้าหรือไม่ไหลเข้าอันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
ทเวหยี่ตอบกลับยายไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆน้ำเหรอ...ยายดูจะมีความสุขกับการที่มีน้ำไหลเข้ามาในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่น้ำเริ่มไหลเข้ามาจากบริเวณวัดหัวหมู่บ้าน หรือตอนที่น้ำเข้ามาถึงหมู่บ้านภายในคืนเดียว ยายก็ต้องขนย้ายข้าวของจากใต้ถุนบ้าน หากตอนน้ำขึ้น ก็จะทำสะพานชั่วคราวที่เดินได้เพียงแถวเรียงหนึ่งสำหรับข้ามไปมาระหว่างหมู่บ้านด้านหน้าและด้านหลัง โดยเอาแผ่นไม้ยาวมาวางพาดบนเสา หากน้ำในแม่น้ำ
อิรวดีค่อย ๆ เพิ่มขึ้น พวกยายก็ไม่เดือดร้อนอะไร แต่ถ้าน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อไรสะพานไม้ชั่วคราวที่ทำไว้ก็จะลอยไปกับน้ำ บรรดาเด็กหนุ่มในหมู่บ้านก็จะพากันว่ายน้ำไปกู้พื้นไม้สะพานกลับมาวางพาดไว้ที่วัด
ที่วัดตรงหัวหมู่บ้านมีเรือลำป้อม ๆ อยู่ลำหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า “ชเหว่-มแย้ะโลง(ดวงตาสีทอง)” เรือลำนี้ทำจากเสาราชวังของพระราชา แล้วปิดทองลงบนดวงตานูน ๆ ด้านหน้าของเรือ ยายเองไม่เคยโดยสารเรือลำนี้หรอก ว่ากันว่าผู้หญิงไม่สมควรขึ้น ตอนเช้า ๆ เณรจะใช้ไม้พายยาว ๆ พายเรือออกมาบิณฑบาตกันอย่างทุลักทุเล ส่วนยายก็เอาเรือสัมปั้นออกมาอุดชันยาแล้วพายออกจากบ้านไป งูแมวเซาที่มากับน้ำยังแอบมานอนขดอยู่ที่ปลายกิ่งมะปราง
“แม้หมู่บ้านของพวกเราจะอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ แต่ก็ไม่มีใครทำอาชีพประมงเลยสักคน และแม้จะมีรังผึ้งห้อยระย้าอยู่ตามต้นมะม่วง ต้นมะปราง ต้นบุนนาค และต้นงิ้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครตีเอารังลงมา คนในหมู่บ้านของเราไม่มีนิสัยที่ชอบทำลายรังนกเพื่อเอาไข่ของมัน”
ยายพูดราวกับฝัน
“ยาย พูดอะไรอยู่หรือ”
ทเวหยี่ลากเก้าอี้มานั่งใกล้กับยาย รินน้ำชาใส่ถ้วย แล้วยกไปแนบกับริมฝีปาก จากนั้นก็เป่าเบาๆ
“นี่..ทเวหยี่ น้ำชาไม่ร้อนสักหน่อย เอ แต่เดี๋ยวก่อน...หากหมู่บ้านของเรามีไฟฟ้าสว่างไสว ราคาเทียนไขคงจะถูกลง สมัยก่อน เราจุดตะเกียงโป๊ะตอนกลางคืนแล้วทอผ้ากัน และไม่เคยมีรถยนต์เข้าถึงหมู่บ้านสักคัน แต่ถ้าต่อไปภายหน้ารถยนต์จากสนามบินนานาชาติผ่านหมู่บ้านของเรา พวกหล่อนคงจะโบกมือเรียกรถเพื่อเดินทางไปเมืองมัณฑะเลได้อย่างสบาย”
เสียงทอผ้าจากหมู่บ้านวันนี้ฟังราวกับว่าหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง วันนี้ยายไม่ได้ยินเสียงโก่ตะโย้ะ(ใช้เรียกคนพม่าผิวขาว) ร้องเพลงในขณะที่ทอผ้า ได้ยินเพียงเสียงของเครื่องจักรเท่านั้น จะพูดไปแล้ว หูยายนับว่ายังใช้การได้ดีทีเดียว เครื่องจักรนั้นมีพละกำลังมากและดูเหมือนว่าพวกมันกำลังทำหน้าที่ตามคำสั่ง เสียงของเครื่องจักรราวกับรูปร่างของมันซึ่งใหญ่โตโอ้อวดสายตาคน
“รถคันใหญ่ที่ยายว่าน่ะ บรรทุกชาวต่างชาติมาเต็มคันรถเลย ถ้าฉันไปโบก รถจะหยุดให้ไหมล่ะยาย”
น้ำเสียงของทเวหยี่คราวนี้ไม่เพียงแต่จะไม่แสดงความหยาบคายกับยาย แต่กลับดูอบอุ่น
ยายคาบบุหรี่ขี้โย แล้วจุดไฟแช็คด้วยหัวแม่มือ เมื่อเกิดเปลวไฟ ยายก็เอาบุหรี่มาต่อ ยายดูจะพึงพอใจกับการที่ได้สูบบุหรี่ และยังคงสูบมันต่อไปเรื่อยๆ
ใบหน้าเหี่ยวย่นของยายที่ค่อนข้างหมอง และดูยิ่งหมองขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ท่ามกลางควันบุหรี่ แม้ว่าจะไม่อาจรับรสของชาจากแก้วเคลือบใบเล็กๆก็ตาม แต่ยายก็ยกชาดื่มจนหมดเกลี้ยง
เมื่อดื่มชาจนหมด ยายก็หันกลับมาสูบบุหรี่ที่เหลือมวนนั้นต่อ ใบหน้ายิ้มกริ่มท่ามกลางควันบุหรี่ คล้ายกับยายกำลังย้อนกลับไปในอดีตพร้อมๆกับควันบุหรี่เหล่านั้น ยายกำลังมองดูนกเขาตัวเล็กสองตัวที่เกาะอยู่ท่ามกลางเถาไม้เลื้อยในขณะที่เดินไปตามริมคลองฝ่าเท้ายายก็โดนหนามหญ้าเกี่ยว เหล่านกกินปลีตัวเล็กๆ ที่อยู่บนต้นไม้ช่างดูน่ารักนัก ยายที่เดินหายวับไปกับควันบุหรี่ กลับเข้ามาบนเรือนเล็ก ๆ อีกครั้ง ทเวหยี่ก็กำลังหุงข้าวพร้อมกับครวญเพลงไปพลาง
ขณะที่ทเวหยี่กำลังตั้งหม้อข้าวใบเล็กๆบนเตาอยู่ ใจก็เต้นระรัวเมื่อจู่ๆ เกิดคิดถึงแฟนขึ้นมา พลางเอามือคลำจดหมายเล็กๆที่พับอยู่บริเวณหว่างอกอย่างร้อนรน ไม่รู้เลยว่าเช้านี้ เธอลูบคลำจดหมายแฟนที่ตรงอกไปแล้วกี่ครั้ง น่าจะเป็นจดหมายที่พวกเขานัดพบกันที่ใต้ต้นไทรคืนนี้อย่างแน่นอน
ถ้าหากแอลดิสัน(ยี่ห้อหลอดไฟ)และเฮนรี่ ฟอร์ด (ยี่ห้อเครื่องจักร) เข้ามา แล้วจะอยู่กันอย่างไร หากหมู่บ้านเล็กๆกลายเป็นเมือง ยายกับทเวหยี่จะตอบโต้กับเมืองใหม่นี้อย่างไร
“เขาสองคนหลบอยู่ใต้ต้นไม้ เพียงเพราะไม่กล้ามองแสงจันทร์”(เป็นท่อนเพลงที่ทเวหยี่ร้อง)
ทเวหยี่กำลังจินตนาการถึงเพลงรักแสงจันทร์ท่ามกลางเหล่าต้นไม้ใบไม้ และใบหน้าของคนรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นไปไม่ได้ที่แอนดิสันและแฮนรี่ฟอร์ดจะรู้สึกได้ถึงรสชาดความมันของลูกสมอหรือความเปรี้ยวของมะปรางสุกได้ แม้มะม่วงที่อยู่ในวัดแม้จะผลเล็กแต่ก็มีรสหวาน เขามักจะเก็บผลที่หล่นลงมาจากต้นยามต้องลมฝนมาฝากเธอเสมอ จนเธอเผลอคิดไปว่า เมื่อไหร่จะได้อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยซะที
ทันที่ที่ได้ยินเสียงของเครื่องจักร ฝันเฟื่องเรื่องความรักของเธอก็แตกสลายไปทันที แต่ไม่เป็นไร ทเวหยี่นั้นมีความฝันอยู่มากมาย ถึงแม้จะแตกสลายไปบ้างแล้วก็ตาม แต่เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นมาอีก ไม่จำเป็นต้องเสียใจอะไร แม่ของทเวหยี่ซึ่งไปขายพวงมาลัยบริเวณข้างบันไดมุขด้านเหนือของเจดีย์ยังไม่กลับมาเลย เมื่อแม่กลับมาก็ใช่ว่าจะบอกให้แม่รู้ได้ จะต้องเก็บงำมันเอาไว้ในใจ
“นี่ ทเวหยี่”
ยายตะโกนเอิ้นเรียกทเวหยี่จากบริเวณโต๊ะ
“อะไรยาย ตะโกนตกอกตกใจ นี่...หม้อข้าวจะเดือดแล้ว”
ทเวกยี่ออกอาการเคืองกับเสียงของยายที่มาทำลายความฝันของเธอ
“นี่ แล้ววันนี้ เอ็งจะทอผ้าหรือเปล่า”
ทเวหยี่แวบคิดไปถึงแบบของลายผ้าไหมซึ่งเป็นพื้นสีเหลืองเหลือบม่วงที่ยังทอไม่เสร็จ
“ทอสิยาย เดี๋ยวหุงข้าวให้สุกก่อนแล้วจะไป”
“นี่ พวกแม่หนูที่กำลังขนดินบนเกาะด้านโน้น น่าจะได้เงินเยอะนะ แล้วเอ็งไม่ไปขนกับเขาบ้างเหรอ”
“ก็บอกแล้วว่า ฉันหุงข้าวเสร็จก็จะไปทอผ้า ยายนี่...พูดไม่รู้เรื่องเลย”
“นี่.. แต่มันได้เงินเยอะนะ”
“ได้เงินเยอะขนาดไหนก็ไม่ไปหรอก ฉันจะทอผ้าอย่างเดียว”
แล้วทั้งยายและทเวหยี่ก็ได้ยินเสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังซู่ดังมาจากต้นไทรหลังบ้าน
“นี่... ทเวหยี่ ต้นไทรหลังบ้านของเรายังอยู่เลยนะ”
ทเวหยี่ไม่ได้ตอบยายกลับไปสักคำ ดวงตาของยายมองไม่เห็นการนัดพบกับคนรักทุกคืนที่ใต้ต้นไทร แต่หัวใจของทเวหยี่มองเห็นภาพที่ยายมองไม่เห็นอยู่ตลอดเวลา
หัวใจของทเวหยี่เต้นตึกตัก เธอเอามือลูบคลำจดหมายที่พับซ่อนไว้ตรงหว่างอกหลายครั้งหลายครา เสียงลมพัดแทรกผ่านใบไม้เหล่านั้นจะใช่เสียงเพลงแห่งรักหรือเปล่านะ แต่เสียงเครื่องจักรมันอยู่บนเกาะฝั่งโน้นนี่นา
จากนิตยสารชเหว่-อะมยุ่-เต่-แม็กกาซีน
เดือนตุลาคม 1997
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น