วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เต็งเส่งประกาศภาวะฉุกเฉินในรัฐอาระกัน สถานการณ์ยังตึงเครียด



ประธานาธิบดีเต็งเส่งประกาศภาวะฉุกเฉินในหลายเมืองของรัฐอาระกัน โดยระบุให้ทุกฝ่ายใจเย็น พร้อมแสดงความกังวลว่า เหตุความไม่สงบในรัฐอาระกันอาจขัดขวางการปฏิรูปประเทศ ขณะที่ตัวเลขผู้เสียชีวิตในรัฐอาระกันคาดว่าจะเพิ่มสูงขึ้น โดยยังไม่สามารถยืนยันตัวเลขได้ชัดเจน



 

การปราศรัยทางโทรทัศน์ของประธานาธิบดีเต็งเส่งกล่าวว่า หากประชาชนมุ่งแก้แค้น รบราฆ่าฟันซึ่งกันและกัน โดยมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางเชื้อชาติและศาสนา ก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายไปยิ่งขึ้น และอาจลุกลามออกไปนอกเหนือจากในรัฐอาระกัน ดังนั้นจึงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายใจเย็น พร้อมทั้งแสดงความกังวลว่า ความไม่สงบที่เกิดขึ้น อาจไปทำลาย เสถียรภาพของประเทศ สันติภาพ กระบวนการประชาธิปไตย และการพัฒนา ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการเปลี่ยนผ่าน อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ทางการพม่าได้ส่งกำลังทหารและเรือของกองทัพเรือเข้าสู่พื้นที่เมืองที่เกิดการจลาจลเพื่อควบคุมสถานการณ์แล้ว

 

ทั้งนี้ ความขัดแย้งระหว่างชาวอาระกัน ซึ่งเป็นชาวพุทธและชาวโรฮิงยาได้ลุกลามไปในหลายเมืองของรัฐอาระกัน ขณะที่ล่าสุดเมื่อวานนี้ (10 มิถุนายน) มีเหตุปะทะกันและความรุนแรงเกิดขึ้นในเมืองชิตต่วย ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐอาระกัน สื่อของพม่ารายงานว่า นับตั้งแต่เกิดการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย ทำให้มีบ้านเรือนกว่า 500 หลัง ได้รับความเสียหาย มีประชาชนเกือบ 5 พันคนต้องไร้บ้าน ประชาชนเป็นจำนวนมา โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็กตัดสินใจทิ้งบ้านเรือนของตัวเองไปอยู่ที่วัด เนื่องจากไม่มั่นใจในความปลอดภัย

 

ด้านผู้นำกลุ่มนักศึกษาปี 1988 อย่างนายโกโกจีได้ออกมากล่าวว่า ต้นเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรงในเมืองมงดอว์และเมืองราทีดอง ซึ่งมีชาวโรฮิงยาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากนั้นมาจากตรงชายแดนและมาจากประเทศเพื่อนบ้าน พร้อมทั้งเรียกร้องให้ประเทศที่วิพากษ์วิจารณ์พม่าที่ไม่ยอมรับชาวโรฮิงยาควรเคารพอธิปไตยของพม่าด้วย

 

ขณะที่อีกด้านหนึ่งในวันนี้ เครือข่ายมุุสลิมโรฮิงยาในไทยได้ยื่นจดหมายถึงเลขาธิการสหประชาชาติให้หยุดยั้งเหตุรุนแรงระหว่างชาวพุทธและชาวมุสลิมในรัฐอาระกันของพม่าอย่างเร่งด่วน โดยทางกลุ่มระบุว่า ขณะนี้มีผู้ได้้รับบาดเจ็บและสูญหายประมาณ 800-1,000 คน การสังหาร เผาบ้านเรือนของชาวโรฮิงยายังคงดำเนินไปตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ประชาชนต้องหลบหนีซ่อนตัวในป่าและหนีไปอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น