วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

Beyond Rangoon สู้เพื่อเธอ อองซาน ซูจี

beyond rangoon

โดย หมอกเต่หว่า

คนบางกลุ่มยอมทำทุกอย่างเพื่อรักษาอำนาจและผลประโยชน์ของตัวเอง แม้กระทั่งเข่นฆ่าข่มเหงคนเชื้อชาติเดียวกัน ละตราบใดที่พวกเขายังมีปืนและหลงระเริงในอำนาจมืดตราบนั้นประชาชนผู้อยู่ใต้การปกครองของพวกเขาก็จะต้องเผชิญความทุกข์ยากไม่มีที่สิ้นสุด

ภาพยนตร์เรื่อง Beyond Rangoon ตอกย้ำภาพลักษณ์เผด็จการและความอำมหิตของทหารพม่าได้ชัดเจนอีกเรื่องหนึ่ง หนังเรื่องนี้ฉาย ครั้งแรกเมื่อปี 2538 กำกับโดย จอห์น บัวร์แมน (John Boorman) ที่ทุ่มเทให้กับหนังเรื่องนี้สุดตัว เขียนบทโดย อเล็ก ลาสเกอร์ (Alex Lasker ) และ บิล รูบินสไตน์ (Bill Rubenstein)

ว่ากันว่า Beyond Rangoon สร้างจากเรื่องจริงของชาวต่างชาติที่เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ประท้วงใหญ่เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 1988 (2531) ซึ่งได้นักแสดงนำอย่าง แพทริเซีย อาร์เควตต์ (Patricia Arquette) มารับบทเป็นลอร่า โบว์แมน (Laura Bowman) หญิงชาวอเมริกันที่หลงเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ประท้วงในครั้งนั้น นอกจากนี้ยังได้อูอ่องโกนักแสดงนำมือสมัครเล่นชาวพม่า มารับบทเป็นนักเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลพม่าทั้งในหนังและในชีวิตจริง รวมถึง นักแสดงสมทบชาวพม่าอีกหลายคน

ลอร่า โบว์แมน แพทย์หญิงที่ต้องสูญเสียสามีและลูกชายจากน้ำมือของฆาตกรโหด เธอแทบไม่เหลืออะไรอีกแล้วหลังสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสอง แม้เหตุการณ์เลวร้ายจะผ่านพ้นไปแล้ว แต่บาดแผลลึก ในใจ นอกจากจะไม่สามารถรักษาให้หายได้แล้ว ภาพแห่งความสูญเสียยังคอยตามหลอกหลอนเธอไม่รู้จบ จนทำให้เธอขาดความเชื่อมั่นที่จะรักษาคนไข้หรือแม้กระทั่งการมีชีวิตอยู่ต่อไป และจมอยู่กับความทุกข์ ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่าจะก้าวผ่านมันได้อย่างไร

แต่เหมือนโชคชะตาต้องการทดสอบและพลิกผันชีวิตของลอร่า  เมื่อวันหนึ่ง พี่สาวของเธอต้องการให้เธอเดินทางมาเที่ยวในพม่าเพื่อเยียวยาบาดแผลในใจ จนทำให้เธอได้หลงเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ประท้วงและได้เห็นนักศึกษา นักเคลื่อนไหว และประชาชนในพม่าออกมา เรียกร้องประชาธิปไตย และยิ่งกว่านั้น เธอได้เห็นภาพของนางอองซาน ซูจี ซึ่งรับบทโดย อแดล ลุทส์ (Adelle Lutz) เดินฝ่ากลุ่มทหารพม่าที่ถือปืน อย่างกล้าหาญโดยไม่สะพรึงกลัว ซึ่งนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลอร่าเริ่มให้ความสนใจกับประเทศพม่ามากขึ้น โดยที่เธอเองไม่ได้เอะใจเลยสักนิดว่า สิ่งที่น่าหวาดกลัวและการผจญภัยกับความโหดร้ายกำลังรออยู่เบื้องหน้า

ในเวลาต่อมาได้เกิดการประท้วงทั่วพม่า จนทำให้รัฐบาลตัดสินใจ ให้ชาวต่างชาติเดินทางออกจากพม่าอย่างเร่งด่วน แต่ ลอร่าทำพาสปอร์ต หายจึงเธอไม่สามารถออกจากพม่าพร้อมกับพี่สาวได้ ในระหว่างที่ รอพาสปอร์ตเล่มใหม่และกำลังหมดอาลัยตายอยากในชีวิตลอร่าได้พบ กับอูอ่องโก ชายชราซึ่งเป็นไกด์นำเที่ยว โดยลอร่าให้อูอ่องโกแอบพาเธอไปเที่ยวยังเขตชนบทของพม่า นำไปสู่จุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอได้เห็นภาพความโหดร้ายที่ทหารพม่าทำกับประชาชนของตัวเอง

“ทำไมพวกเขา(ทหารพม่า) ถึงโวยใส่คุณ” นี่คือคำถามแรกที่ลอร่าเริ่มถามอูอ่องโก เมื่อเห็นทหารพม่านายหนึ่งตะคอกใส่เขา “พวกเขา(ทหารพม่า) ต้องการทำให้เรารู้ว่า พวกเขาแข็งแกร่ง และพวกเราอ่อนแอ ทหารพม่าก็เป็นแบบนี้ ชอบข่ม” และนี่คือสิ่งที่อูอ่องโกตอบลอร่า ระหว่างการเดินทางกับอ่องโกตามเส้นทางสู่ชนบท เธอได้พบเห็น ทหารพม่าเกือบทุกหนทุกแห่ง  ซึ่งชีวิตจริงของชาวพม่าภายใต้กระบอกปืนนั้น ทุกข์ยากแสนสาหัสโดยที่คนภายนอกไม่เคยรับรู้ แต่สิ่งทำให้ลอร่าแปลกใจมากไปกว่านั้นก็คือ เมื่อเธอรู้ความจริงว่า แท้จริงแล้วอูอ่องโกเป็น อาจารย์ในมหาวิทยาลัยย่างกุ้งที่เคยติดคุกเพราะช่วยเหลือลูกศิษย์ที่ต่อต้านรัฐบาลเนวิน และถูกสั่งห้ามกลับไปสอนในมหาวิทยาลัยอีก จนต้องยึดอาชีพเป็นไกด์นำเที่ยวแทน

แต่อูอ่องโกและลูกศิษย์ก็ยังคงเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลอย่างลับๆ เขาได้พาลอร่ามายังบ้านแห่งหนึ่งในเขตชนบท ซึ่งเป็นที่หลบซ่อน ตัวของเขาและลูกศิษย์ ลอร่าได้เห็นและสัมผัสว่า แม้อูอ่องโกและลูกศิษย์จะอยู่ด้วยความลำบากและต้องดิ้นรนต่อสู้ แต่พวกเขาก็รู้ที่จะอยู่กับความลำบากอย่างมีความสุข ความสุขของพวกเขา คือ ความหวังที่จะเห็นประเทศของตัวเองเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ความสุขที่ได้ต่อสู้ ไปพร้อมๆ  กับนางซูจี  “นายพลเนวินข่มคนให้กลัว แต่เขากลัวอองซาน ซูจี เพราะเธอไม่กลัว” ซึ่งนั่นทำให้ลอร่าเริ่มตระหนักได้ถึงบางสิ่ง

แต่ทว่าเช้าวันต่อมา เหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อทางการรู้ที่ซ่อนของอ่องโกและลูกศิษย์ จนทำให้พวกเขาต้องหนีอีกครั้ง อูอ่องโกตัดสินใจ ที่จะไปส่งลอร่าที่สถานีรถไฟเพื่อให้เธอเดินทางกลับไปที่กรุงย่างกุ้ง โดยทั้งสองตั้งใจว่าแยกกันที่สถานีรถไฟ แต่ก็ไม่ง่ายนักเมื่อพบว่ามีทหารพม่าอยู่ทุกที อูอ่องโกพยายามติดสินบนทหารพม่าเพื่อให้ลอร่าเดินทางกลับอย่างปลอดภัย แต่ทหารนายนั้นกลับปฏิเสธและซ้อมเขาอย่างหนักต่อหน้าลอร่าและมินฮาน ลูกศิษย์คนหนึ่งของเขา มินฮาน เข้ามาช่วยเหลืออูอ่องโก แต่กลับถูกทหารพม่ายิงเสียชีวิต พวกเขาต้องกลับมาเผชิญชะตากรรมร่วมกันอีกครั้ง เมื่อลอร่าลงจากรถไฟเพื่อช่วยอูอ่องโก ทั้งสองหนีรอดจากเงื้อมมือของทหารได้ แต่อ่องโกก็ถูกยิง บาดเจ็บสาหัส ทั้งสองได้หนีเอาชีวิตรอดอย่างทุลักทุเล ในขณะเดียวกันลอร่าเองได้เห็นภาพความโหดร้ายของทหารพม่ามากขึ้นเรื่อยๆ

“พวกเขา(ทหารพม่า) ทำได้ยังไง” อีกคำถามจากลอร่า ซึ่งได้รับ คำตอบว่า “พวกนั้นทำได้ทุกอย่าง พวกคนพม่าสุภาพเกินจะขัดขืน นายพลเนวินถึงครองประเทศนี้ได้ถึง 25 ปี เรายอมรับการฆ่าและทรมาน เราทนทุกข์และได้แต่เงียบและต้องคอยหลบซ่อน” เมื่ออูอ่องโกได้รับบาดเจ็บ ลอร่าจำเป็นต้องตัดสินใจว่า จะช่วย ชีวิต หรือปล่อยให้เขาตายอย่างช้าๆ ท้ายที่สุดเธอเลือกที่จะช่วยชีวิตเขาซึ่งทำได้จนสำเร็จ และเรียกความมั่นใจของเธอกลับคืนมาอีกครั้ง

แต่เรื่องราวไม่ได้จบเพียงแค่นี้เมื่อลอร่าและอูอ่องโกเดินทางกลับถึงย่างกุ้ง โดยพบว่าเหตุการณ์ในเมืองกรุงก็เลวร้ายไม่ต่างจากเขตชนบท นักศึกษา พระสงฆ์ และชาวบ้านยังคงทยอยเดินทางออกมาประท้วงรัฐบาล และสิ่งที่ลอร่าและอูอ่องโกไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในวันที่ 8 เดือน 8 ปี 1988 (2531) เมื่อทหารสาดกระสุนใส่ร่างผู้ประท้วงจนกลายเป็นเหตุการณ์สังหารหมู่ 8888 “สิ่งที่ชาวจีนทำที่เทียนอันเหมินถูกถ่ายทอด แต่ที่พม่า…ไม่” นี่คือคำพูดของลอร่าจากสิ่งที่เธอเห็น

เมื่อในเมืองกรุงไม่ปลอดภัย ลอร่า อูอ่องโก และนักเคลื่อนไหวอีกกลุ่มหนึ่งตัดสินใจหนีไปยังชายแดนเพื่อข้ามไปยังฝั่งไทย แต่ก็ถูกตามล่าจากทหารพม่าเป็นระยะๆ พวกเขาเดินทางเข้าป่าโดยได้รับความช่วยเหลือจากทหารกะเหรี่ยงเคเอ็นยู ทว่า กว่าจะเดินทางไปถึงจุดหมายปลายทางอย่างประเทศไทย พวกเขาหลายคนต้องแลกด้วยชีวิตจากน้ำมือของทหารพม่า

“พวกมันยิงทุกคนที่ต้องการจะข้ามชายแดน มันยิงพวกเรา เหมือนสัตว์เลย พวกเขาทำได้ยังไง พวกเขายิงคนชาติเดียวกันอย่างเลือดเย็นได้ยังไง” นี่คือคำพูดหนึ่งในหนังที่ฟังแล้วรู้สึกหดหู่ แต่ท้ายที่สุดแล้วลอร่าและอ่องโก สามารถเอาชีวิตรอดไปยังค่ายผู้ลี้ภัยในฝั่งไทยได้สำเร็จ “สิ่งที่ฉันเคยคิดอยากทำคือ ตายไปอยู่กับสามีและลูก แต่นี่ฉันกลับต่อสู้ให้มีชีวิตรอด ฉันว่า พอถึงเวลาเข้าจริงๆ ฉันกลับไม่อยากตาย” นี่คือคำพูดของลอร่าในตอนท้ายเรื่อง

การได้เดินทางผจญภัยในพม่าได้เห็นชีวิตการต่อสู้และความทุกข์ยากของผู้คนในพม่า ได้ทำให้ลอร่าเข้มแข็งและเป็นคนใหม่ สามารถเอาความทุกข์ที่มีอยู่ในใจทั้งหมดโยนทิ้งไปได้สำเร็จ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่มีจุดหมายปลายทาง คือการกลับมาเป็นหมอรักษาคนไข้อีกครั้ง แต่สำหรับอ่องโกและนักเคลื่อนไหวชาวพม่าคนอื่นๆ ที่ต้องการเห็นประชาธิปไตยในบ้านเกิด ความมุ่งหวังของพวกเขากลับยังคงเลือนราง   ภาพในหนัง Beyond Rangoon เปรียบเสมือนหนังฉายซ้ำถึงการต่อสู้ของนักศึกษาและนักเคลื่อนไหวเมื่อปี 1988 และสะท้อนให้เห็นการประท้วงอย่างสันติเพื่อประชาธิปไตย แต่กลับจบลงด้วยการที่รัฐบาลเนวินเลือกใช้วิธีความรุนแรงโดยการสังหารโหดผู้ประท้วง โดยมีภาพฉากนักศึกษานำดอกไม้ไปกราบและมอบให้กับทหาร แต่กลับได้รับลูกปืนเป็น การตอบแทน และปฏิเสธไม่ได้ว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ทำให้มีนักศึกษา นักเคลื่อนไหว พระสงฆ์ และชาวบ้านต้องสังเวยชีวิตจำนวนกว่า 3 พันคน ซึ่งยังคงตามมาหลอกหลอนชาวพม่าจนถึงปัจจุบัน

แต่ดูเหมือน ฝันร้ายยังไม่จบเมื่อประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้งในปี 2550 ที่ผ่านมา ในยุคของตานฉ่วย ผู้นำเผด็จการที่เดินตามรอยนายพลเนวินโดยการสังหารประชาชนและพระสงฆ์ที่ออกมาประท้วงอีกครั้ง

แม้ Beyond Rangoon จะถูกถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์มเมื่อ15 ปีก่อน แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังยังคงเกิดขึ้นกับพม่าในยุคปัจจุบันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ประชาชนยังคงอยู่ด้วยความหวาดกลัวนักเคลื่อนไหวยังคงถูกตามล่าและถูกคุมขัง นางอองซาน ซูจี สัญลักษณ์แห่งประชาธิปไตยและความหวังของคนในพม่ายังคงถูกปิดกั้นเสรีภาพ

เช่นเดียวกับที่ชาติพม่าที่ล่มสลาย จะยังคงอยู่ในมือของผู้ที่มีอำนาจใต้กระบอกปืนต่อไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น