วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

เพลงรักใบไม้ใต้แสงจันทร์

ยายได้ยินเสียงเครื่องจักรกำลังทำงาน พลางเอามือควานไปในอากาศเพื่อหาถ้วยน้ำชาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ




“ยาย  ถ้วยน้ำชาจะหกหมดแล้ว ไม่ซื้อให้อีกแล้วนะ ถ้วยวางอยู่ด้านหลัง แต่ยายกลับคลำหาที่อื่น”

ทเวหยี่บอก  เธอไว้ผมสั้น นั่งส่องกระจกสี่เหลี่ยมบานเล็กๆ แล้วบรรจงแต่งแต้มเครื่องหอมลงบนใบหน้า ส่วนยายก็จ้องมองมาตามเสียงนั้นด้วยดวงตาที่มองไม่เห็น  เป็นเพราอะไรทเวหยี่จึงได้ใจหวั่นกับสายตาที่มองมาอย่างนั้น “เฮ้! นังทเวหยี่  ข้ารู้หรอกว่า ถ้วยน้ำชาวางอยู่ตรงไหน  เอ็งไม่ต้องมาแนะข้า”

ในตอนนั้น ยายก็คลำเจอถ้วยเคลือบใบเล็กเก่า ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ  จึงใช้มืออันเหี่ยวย่นจับปากถ้วยเอาไว้ แล้วสอดนิ้วชี้ลีบๆ ไปที่หูของถ้วย  จากนั้นก็ยกพรวดขึ้นมาดื่ม  รสชาดของน้ำชาไม่ถูกปาก จึงเบ้หน้าก่อนจะวางถ้วยน้ำชากลับคืนลงบนโต๊ะ

“โอ๊ย...รสชาดน้ำชาแย่มาก แย่ยิ่งกว่าฉี่ของวัวเสียอีก  นี่...นังทเวหยี่ ซื้อน้ำชานี้มาจากร้านข้างทางตรงหัวหมู่บ้านใช่ไหม”

หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากถนนใหญ่ประมาณสองร้อยก้าว  แต่ยังคงมีไม้ใหญ่ปกคลุมร่มครึ้ม ยายนึกถึงน้ำชาหวานๆ ชงใส่นมวัว  มีไขนมจับตัวกันแน่นอยู่บนผิวน้ำชา

ทเวหยี่กำลังหวีผมสั้นๆของเธอด้วยหวี มือขวาก็คลำจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งสอดไว้ตรงซอกเสื้อชั้นใน จดหมายนั้นถูกพับไว้จนแข็ง  ทเวหยี่เบ้ปากใส่ยาย

“ยายก็...ในหมู่บ้านเคยมีร้านน้ำชาเมื่อไรกันล่ะ ก็ต้องเป็นน้ำชาจากร้านที่อยู่ริมข้างทางตรงหัวหมู่บ้านนะสิ”

พูดจบ ทเวหยี่ก็หวีผมต่อ

“เออใช่... แล้วซื้อจากร้านด้านหน้าหรือร้านด้านหลังล่ะ”

“ซื้อจากร้านด้านหลังน่ะสิ”

ทเวหยี่หันหลังให้ยาย แล้วก็ยื่นหน้าเข้าใกล้มองริมฝีปากสีชมพูอันอวบอิ่มของเธอ เธอใช้นิ้วถูริมฝีปากเบา ๆ  แล้วเลื่อนลิ้นมาเลียริมฝีปากบน

“ใครชงน้ำชา...งะ-มยิ่งหรอ”

ทเวหยี่หันขวับไปทางยาย

“คนที่ชื่อ งะ-มยิ่ง ตายไปตั้งนานแล้ว”

“เฮ้ย... งะมยิ่งเป็นคนแข็งแรง แล้วตายไปตั้งเมื่อไรเหรอ บอกข้ามาสิว่า เป็นอะไรตาย”

“ถ้าจะต้องเล่าตั้งแต่ต้น เรื่องคงไม่จบหรอก”

ทเวหยี่เบื่อที่จะเล่าเรื่องซ้ำ ๆ ให้ยายฟัง

ฝ่ามืออันหยาบกร้านของยายค่อย ๆ เคลื่อนไปบนโต๊ะเก่าซอมซ่อ

“นี่  บอกมาสิ  งะ-มยิ่งเป็นอะไรตาย”

“ปีที่แล้ว ช่วงมะม่วงออกผล เขาปีนขึ้นไปบนต้นเพื่อปลิดมะม่วง แต่กิ่งมะม่วงเกิดหัก จึงตกลงมาหัวฟาดพื้นตายคาที่”

“งะ-มยิ่ง ขายน้ำชา แล้วทำไมกลายเป็นคนเก็บมะม่วงไปได้ล่ะ”

“ฉันเองก็ไม่รู้หรอกยาย”

ทเวหยี่กระทืบเท้า แล้วเดินเข้าไปในครัว ยายชำเลืองมองตามเสียงฝีเท้าของทเวหยี่ไป

เสียงเครื่องจักรจากเกาะด้านเหนือของหมู่บ้านดังอื้ออึงชัดเจน  ยายเหม่อมองไปที่เสียงเครื่องจักร ขณะที่ใช้มือเสยผมขาวที่ดูบางตา ผิวหน้าของยายดูเหมือนโขดหินที่ถูกคลื่นซัด  มุมปากแห้งกร้านลามขึ้นไปด้านบนแก้ม

“แล้วแปลงถั่วลิสงบนเกาะจะเป็นยังไงล่ะ ทเวหยี่”

ยายตะโกนถามเข้าไปในครัว

“ก็มีทั้งแปลงถั่วลิสงและแปลงข้าวโพดนะแหละ ยาย”

ยายเคย เดินข้ามคลองที่น้ำลึกถึงหัวเข่าไปยังเกาะ และอาบน้ำ ซักผ้าที่บนหาดทรายฝั่งโน้น แล้วเลยเข้าไปหักข้าวโพดในไร่และถอนถั่วลิสงมาต้มกิน ไปเด็ดแตงโมที่เกลื่อนกลาดเต็มพื้นทรายมาผ่ากิน แล้วปลูกกระท่อมชั่วคราวด้วยไม้ไผ่ลำเล็ก ๆ มุงหลังคาด้วยผ้าจากเมืองโหม่งหยั่ว  จากนั้นก็นอนหลับสักงีบหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาก็มองไปตามแนวภูเขาสีคราม เหม่อมองไปที่ก้อนเมฆ นึกแล้วคิดถึงสิ่งเหล่านี้ซะเหลือเกิน

“ตอนนี้ บนเกาะนั้น ทำอะไรกันอยู่นะ”

“กำลังทำประตูน้ำกั้นอยู่มั้ง  ตอนที่ฉันไปดู เห็นเขากำลังขุดร่องลึกอยู่  แต่ทราย  ตม ตะกอนดินกลับพังลงไปในร่อง  ถ้าไม่รู้ว่างานจะเสร็จได้เมื่อไร  ก็ได้แต่ทำไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ”

ทเวหยี่เดินกลับออกมาจากครัวแล้วตรงมาที่โต๊ะของยายพร้อมกับพูดเสียงดัง ทั้งๆที่จริงแล้วนั้น ครัวกับโต๊ะของยายอยู่ไม่ไกลกันนัก และใช่ว่าบ้านของเขานั้นจะใหญ่โต  ทเวหยี่หยุดยืนใกล้ๆโต๊ะ แล้วเหม่อมองไปยังหน้าบ้าน

“แล้วจะข้ามคลองที่อยู่ติดกับด้านเหนือของหมู่บ้านไปได้อย่างไร”

“ก็ถมคลองไปเลยล่ะสิ”

ยายผงกหัวแสดงความเห็นด้วย แล้วเหลือบไปมองช่อดอกผักตบชวาสีม่วงบานอยู่ท่ามกลางกอผักตบชวาสีเขียวสดลอยบนผิวน้ำในคลองด้านเหนือของหมู่บ้าน ตรงท่าเรือตรงนี้เมื่อก่อนมักจะมีแพจากทางเหนือหรือ เรือขายโอ่งลงยามาจอด  หวนคิดถึงสมัยที่ยายเป็นเด็กได้เป็นเพื่อนกับครอบครัวที่อยู่บนเรือที่ยายมักจะขึ้นไปบนเรือสัมปั้นแล้วซื้อโอ่งลงยา ลูกตาล ครกและอ่าง  บนเรือสัมปั้นนั้นมีหมามาด้วย บางครั้งหมาของยายกับหมาบนเรือมักกัดกันจนสุดท้ายหมาทั้งสองตัวตกลงไปในน้ำดังตูม ซ้ำยังไล่กัดกันต่อในน้ำอีก ช่างเป็นหมานักสู้  กัดเก่งจริง ๆ

“ถ้าอย่างงั้น แม่น้ำอิรวดีก็ต้องอยู่ที่ด้านตะวันตกของหมู่บ้านละสิ แล้วจะไม่ไหลเข้ามาคลองข้างๆหมู่บ้านของเราแล้วเหรอ แล้วปีหนึ่งๆน้ำจะไหลเข้ามาในหมู่บ้านอีกหรือเปล่า”

ยายถามด้วยความสนใจ

“น้ำจะไหลเข้าหรือไม่ไหลเข้าอันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”

ทเวหยี่ตอบกลับยายไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ น้ำเหรอ...ยายดูจะมีความสุขกับการที่มีน้ำไหลเข้ามาในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่น้ำเริ่มไหลเข้ามาจากบริเวณวัดหัวหมู่บ้าน หรือตอนที่น้ำเข้ามาถึงหมู่บ้านภายในคืนเดียว ยายก็ต้องขนย้ายข้าวของจากใต้ถุนบ้าน หากตอนน้ำขึ้น ก็จะทำสะพานชั่วคราวที่เดินได้เพียงแถวเรียงหนึ่งสำหรับข้ามไปมาระหว่างหมู่บ้านด้านหน้าและด้านหลัง โดยเอาแผ่นไม้ยาวมาวางพาดบนเสา  หากน้ำในแม่น้ำ
อิรวดีค่อย ๆ เพิ่มขึ้น พวกยายก็ไม่เดือดร้อนอะไร  แต่ถ้าน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อไรสะพานไม้ชั่วคราวที่ทำไว้ก็จะลอยไปกับน้ำ   บรรดาเด็กหนุ่มในหมู่บ้านก็จะพากันว่ายน้ำไปกู้พื้นไม้สะพานกลับมาวางพาดไว้ที่วัด

ที่วัดตรงหัวหมู่บ้านมีเรือลำป้อม ๆ อยู่ลำหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า “ชเหว่-มแย้ะโลง(ดวงตาสีทอง)” เรือลำนี้ทำจากเสาราชวังของพระราชา  แล้วปิดทองลงบนดวงตานูน ๆ ด้านหน้าของเรือ  ยายเองไม่เคยโดยสารเรือลำนี้หรอก ว่ากันว่าผู้หญิงไม่สมควรขึ้น  ตอนเช้า ๆ เณรจะใช้ไม้พายยาว ๆ พายเรือออกมาบิณฑบาตกันอย่างทุลักทุเล ส่วนยายก็เอาเรือสัมปั้นออกมาอุดชันยาแล้วพายออกจากบ้านไป งูแมวเซาที่มากับน้ำยังแอบมานอนขดอยู่ที่ปลายกิ่งมะปราง

“แม้หมู่บ้านของพวกเราจะอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ แต่ก็ไม่มีใครทำอาชีพประมงเลยสักคน และแม้จะมีรังผึ้งห้อยระย้าอยู่ตามต้นมะม่วง ต้นมะปราง ต้นบุนนาค และต้นงิ้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครตีเอารังลงมา คนในหมู่บ้านของเราไม่มีนิสัยที่ชอบทำลายรังนกเพื่อเอาไข่ของมัน”

ยายพูดราวกับฝัน

“ยาย   พูดอะไรอยู่หรือ”

ทเวหยี่ลากเก้าอี้มานั่งใกล้กับยาย   รินน้ำชาใส่ถ้วย  แล้วยกไปแนบกับริมฝีปาก จากนั้นก็เป่าเบาๆ

“นี่..ทเวหยี่ น้ำชาไม่ร้อนสักหน่อย  เอ   แต่เดี๋ยวก่อน...หากหมู่บ้านของเรามีไฟฟ้าสว่างไสว ราคาเทียนไขคงจะถูกลง สมัยก่อน เราจุดตะเกียงโป๊ะตอนกลางคืนแล้วทอผ้ากัน และไม่เคยมีรถยนต์เข้าถึงหมู่บ้านสักคัน แต่ถ้าต่อไปภายหน้ารถยนต์จากสนามบินนานาชาติผ่านหมู่บ้านของเรา พวกหล่อนคงจะโบกมือเรียกรถเพื่อเดินทางไปเมืองมัณฑะเลได้อย่างสบาย”

เสียงทอผ้าจากหมู่บ้านวันนี้ฟังราวกับว่าหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง  วันนี้ยายไม่ได้ยินเสียงโก่ตะโย้ะ(ใช้เรียกคนพม่าผิวขาว)           ร้องเพลงในขณะที่ทอผ้า  ได้ยินเพียงเสียงของเครื่องจักรเท่านั้น จะพูดไปแล้ว หูยายนับว่ายังใช้การได้ดีทีเดียว  เครื่องจักรนั้นมีพละกำลังมากและดูเหมือนว่าพวกมันกำลังทำหน้าที่ตามคำสั่ง เสียงของเครื่องจักรราวกับรูปร่างของมันซึ่งใหญ่โตโอ้อวดสายตาคน

“รถคันใหญ่ที่ยายว่าน่ะ บรรทุกชาวต่างชาติมาเต็มคันรถเลย  ถ้าฉันไปโบก รถจะหยุดให้ไหมล่ะยาย”

น้ำเสียงของทเวหยี่คราวนี้ไม่เพียงแต่จะไม่แสดงความหยาบคายกับยาย  แต่กลับดูอบอุ่น

ยายคาบบุหรี่ขี้โย  แล้วจุดไฟแช็คด้วยหัวแม่มือ เมื่อเกิดเปลวไฟ ยายก็เอาบุหรี่มาต่อ   ยายดูจะพึงพอใจกับการที่ได้สูบบุหรี่ และยังคงสูบมันต่อไปเรื่อยๆ

ใบหน้าเหี่ยวย่นของยายที่ค่อนข้างหมอง และดูยิ่งหมองขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ท่ามกลางควันบุหรี่ แม้ว่าจะไม่อาจรับรสของชาจากแก้วเคลือบใบเล็กๆก็ตาม แต่ยายก็ยกชาดื่มจนหมดเกลี้ยง

เมื่อดื่มชาจนหมด ยายก็หันกลับมาสูบบุหรี่ที่เหลือมวนนั้นต่อ ใบหน้ายิ้มกริ่มท่ามกลางควันบุหรี่ คล้ายกับยายกำลังย้อนกลับไปในอดีตพร้อมๆกับควันบุหรี่เหล่านั้น ยายกำลังมองดูนกเขาตัวเล็กสองตัวที่เกาะอยู่ท่ามกลางเถาไม้เลื้อย ในขณะที่เดินไปตามริมคลองฝ่าเท้ายายก็โดนหนามหญ้าเกี่ยว เหล่านกกินปลีตัวเล็กๆ ที่อยู่บนต้นไม้ช่างดูน่ารักนัก  ยายที่เดินหายวับไปกับควันบุหรี่ กลับเข้ามาบนเรือนเล็ก ๆ อีกครั้ง  ทเวหยี่ก็กำลังหุงข้าวพร้อมกับครวญเพลงไปพลาง

ขณะที่ทเวหยี่กำลังตั้งหม้อข้าวใบเล็กๆบนเตาอยู่   ใจก็เต้นระรัวเมื่อจู่ๆ เกิดคิดถึงแฟนขึ้นมา พลางเอามือคลำจดหมายเล็กๆที่พับอยู่บริเวณหว่างอกอย่างร้อนรน  ไม่รู้เลยว่าเช้านี้ เธอลูบคลำจดหมายแฟนที่ตรงอกไปแล้วกี่ครั้ง น่าจะเป็นจดหมายที่พวกเขานัดพบกันที่ใต้ต้นไทรคืนนี้อย่างแน่นอน

ถ้าหากแอลดิสัน(ยี่ห้อหลอดไฟ)และเฮนรี่ ฟอร์ด (ยี่ห้อเครื่องจักร) เข้ามา แล้วจะอยู่กันอย่างไร หากหมู่บ้านเล็กๆกลายเป็นเมือง ยายกับทเวหยี่จะตอบโต้กับเมืองใหม่นี้อย่างไร

“เขาสองคนหลบอยู่ใต้ต้นไม้  เพียงเพราะไม่กล้ามองแสงจันทร์”(เป็นท่อนเพลงที่ทเวหยี่ร้อง)

ทเวหยี่กำลังจินตนาการถึงเพลงรักแสงจันทร์ท่ามกลางเหล่าต้นไม้ใบไม้  และใบหน้าของคนรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เป็นไปไม่ได้ที่แอนดิสันและแฮนรี่ฟอร์ดจะรู้สึกได้ถึงรสชาดความมันของลูกสมอหรือความเปรี้ยวของมะปรางสุกได้  แม้มะม่วงที่อยู่ในวัดแม้จะผลเล็กแต่ก็มีรสหวาน  เขามักจะเก็บผลที่หล่นลงมาจากต้นยามต้องลมฝนมาฝากเธอเสมอ  จนเธอเผลอคิดไปว่า เมื่อไหร่จะได้อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยซะที

ทันที่ที่ได้ยินเสียงของเครื่องจักร ฝันเฟื่องเรื่องความรักของเธอก็แตกสลายไปทันที แต่ไม่เป็นไร ทเวหยี่นั้นมีความฝันอยู่มากมาย  ถึงแม้จะแตกสลายไปบ้างแล้วก็ตาม แต่เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นมาอีก ไม่จำเป็นต้องเสียใจอะไร  แม่ของทเวหยี่ซึ่งไปขายพวงมาลัยบริเวณข้างบันไดมุขด้านเหนือของเจดีย์ยังไม่กลับมาเลย  เมื่อแม่กลับมาก็ใช่ว่าจะบอกให้แม่รู้ได้ จะต้องเก็บงำมันเอาไว้ในใจ

“นี่  ทเวหยี่”

ยายตะโกนเอิ้นเรียกทเวหยี่จากบริเวณโต๊ะ

“อะไรยาย  ตะโกนตกอกตกใจ  นี่...หม้อข้าวจะเดือดแล้ว”

ทเวกยี่ออกอาการเคืองกับเสียงของยายที่มาทำลายความฝันของเธอ

“นี่ แล้ววันนี้  เอ็งจะทอผ้าหรือเปล่า”

ทเวหยี่แวบคิดไปถึงแบบของลายผ้าไหมซึ่งเป็นพื้นสีเหลืองเหลือบม่วงที่ยังทอไม่เสร็จ

“ทอสิยาย  เดี๋ยวหุงข้าวให้สุกก่อนแล้วจะไป”

“นี่ พวกแม่หนูที่กำลังขนดินบนเกาะด้านโน้น น่าจะได้เงินเยอะนะ แล้วเอ็งไม่ไปขนกับเขาบ้างเหรอ”

“ก็บอกแล้วว่า ฉันหุงข้าวเสร็จก็จะไปทอผ้า  ยายนี่...พูดไม่รู้เรื่องเลย”

“นี่.. แต่มันได้เงินเยอะนะ”

“ได้เงินเยอะขนาดไหนก็ไม่ไปหรอก  ฉันจะทอผ้าอย่างเดียว”

แล้วทั้งยายและทเวหยี่ก็ได้ยินเสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังซู่ดังมาจากต้นไทรหลังบ้าน

“นี่... ทเวหยี่  ต้นไทรหลังบ้านของเรายังอยู่เลยนะ”

ทเวหยี่ไม่ได้ตอบยายกลับไปสักคำ  ดวงตาของยายมองไม่เห็นการนัดพบกับคนรักทุกคืนที่ใต้ต้นไทร แต่หัวใจของทเวหยี่มองเห็นภาพที่ยายมองไม่เห็นอยู่ตลอดเวลา

หัวใจของทเวหยี่เต้นตึกตัก เธอเอามือลูบคลำจดหมายที่พับซ่อนไว้ตรงหว่างอกหลายครั้งหลายครา  เสียงลมพัดแทรกผ่านใบไม้เหล่านั้นจะใช่เสียงเพลงแห่งรักหรือเปล่านะ แต่เสียงเครื่องจักรมันอยู่บนเกาะฝั่งโน้นนี่นา

 

 

                                                                                            จากนิตยสารชเหว่-อะมยุ่-เต่-แม็กกาซีน


                                                                                                   เดือนตุลาคม 1997


เพลงรักใบไม้ใต้แสงจันทร์


ยายได้ยินเสียงเครื่องจักรกำลังทำงาน พลางเอามือควานไปในอากาศเพื่อหาถ้วยน้ำชาซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ


ยาย  ถ้วยน้ำชาจะหกหมดแล้ว ไม่ซื้อให้อีกแล้วนะ ถ้วยวางอยู่ด้านหลัง แต่ยายกลับคลำหาที่อื่น


                ทเวหยี่บอก  เธอไว้ผมสั้น นั่งส่องกระจกสี่เหลี่ยมบานเล็กๆ แล้วบรรจงแต่งแต้มเครื่องหอมลงบนใบหน้า ส่วนยายก็จ้องมองมาตามเสียงนั้นด้วยดวงตาที่มองไม่เห็น  เป็นเพราอะไรทเวหยี่จึงได้ใจหวั่นกับสายตาที่มองมาอย่างนั้นเฮ้! นังทเวหยี่  ข้ารู้หรอกว่า ถ้วยน้ำชาวางอยู่ตรงไหน  เอ็งไม่ต้องมาแนะข้า


                ในตอนนั้น ยายก็คลำเจอถ้วยเคลือบใบเล็กเก่า ๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ  จึงใช้มืออันเหี่ยวย่นจับปากถ้วยเอาไว้ แล้วสอดนิ้วชี้ลีบๆ ไปที่หูของถ้วย  จากนั้นก็ยกพรวดขึ้นมาดื่ม  รสชาดของน้ำชาไม่ถูกปาก จึงเบ้หน้าก่อนจะวางถ้วยน้ำชากลับคืนลงบนโต๊ะ


โอ๊ย...รสชาดน้ำชาแย่มาก แย่ยิ่งกว่าฉี่ของวัวเสียอีก  นี่...นังทเวหยี่ ซื้อน้ำชานี้มาจากร้านข้างทางตรงหัวหมู่บ้านใช่ไหม


                หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากถนนใหญ่ประมาณสองร้อยก้าว  แต่ยังคงมีไม้ใหญ่ปกคลุมร่มครึ้ม ยายนึกถึงน้ำชาหวานๆ ชงใส่นมวัว  มีไขนมจับตัวกันแน่นอยู่บนผิวน้ำชา


                ทเวหยี่กำลังหวีผมสั้นๆของเธอด้วยหวี มือขวาก็คลำจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งสอดไว้ตรงซอกเสื้อชั้นใน จดหมายนั้นถูกพับไว้จนแข็ง  ทเวหยี่เบ้ปากใส่ยาย


ยายก็...ในหมู่บ้านเคยมีร้านน้ำชาเมื่อไรกันล่ะ ก็ต้องเป็นน้ำชาจากร้านที่อยู่ริมข้างทางตรงหัวหมู่บ้านนะสิ


พูดจบ ทเวหยี่ก็หวีผมต่อ


เออใช่... แล้วซื้อจากร้านด้านหน้าหรือร้านด้านหลังล่ะ


ซื้อจากร้านด้านหลังน่ะสิ


                ทเวหยี่หันหลังให้ยาย แล้วก็ยื่นหน้าเข้าใกล้มองริมฝีปากสีชมพูอันอวบอิ่มของเธอ เธอใช้นิ้วถูริมฝีปากเบา ๆ  แล้วเลื่อนลิ้นมาเลียริมฝีปากบน


ใครชงน้ำชา...งะ-มยิ่งหรอ


ทเวหยี่หันขวับไปทางยาย


คนที่ชื่อ งะ-มยิ่ง ตายไปตั้งนานแล้ว


เฮ้ย... งะมยิ่งเป็นคนแข็งแรง แล้วตายไปตั้งเมื่อไรเหรอ บอกข้ามาสิว่า เป็นอะไรตาย


ถ้าจะต้องเล่าตั้งแต่ต้น เรื่องคงไม่จบหรอก


ทเวหยี่เบื่อที่จะเล่าเรื่องซ้ำ ๆ ให้ยายฟัง


ฝ่ามืออันหยาบกร้านของยายค่อย ๆ เคลื่อนไปบนโต๊ะเก่าซอมซ่อ


นี่  บอกมาสิ  งะ-มยิ่งเป็นอะไรตาย


ปีที่แล้ว ช่วงมะม่วงออกผล เขาปีนขึ้นไปบนต้นเพื่อปลิดมะม่วง แต่กิ่งมะม่วงเกิดหัก จึงตกลงมาหัวฟาดพื้นตายคาที่


งะ-มยิ่ง ขายน้ำชา แล้วทำไมกลายเป็นคนเก็บมะม่วงไปได้ล่ะ


ฉันเองก็ไม่รู้หรอกยาย


ทเวหยี่กระทืบเท้า แล้วเดินเข้าไปในครัว ยายชำเลืองมองตามเสียงฝีเท้าของทเวหยี่ไป


                เสียงเครื่องจักรจากเกาะด้านเหนือของหมู่บ้านดังอื้ออึงชัดเจน  ยายเหม่อมองไปที่เสียงเครื่องจักร ขณะที่ใช้มือเสยผมขาวที่ดูบางตา ผิวหน้าของยายดูเหมือนโขดหินที่ถูกคลื่นซัด  มุมปากแห้งกร้านลามขึ้นไปด้านบนแก้ม


แล้วแปลงถั่วลิสงบนเกาะจะเป็นยังไงล่ะ ทเวหยี่


ยายตะโกนถามเข้าไปในครัว


ก็มีทั้งแปลงถั่วลิสงและแปลงข้าวโพดนะแหละ ยาย


ยายเคย เดินข้ามคลองที่น้ำลึกถึงหัวเข่าไปยังเกาะ และอาบน้ำ ซักผ้าที่บนหาดทรายฝั่งโน้น แล้วเลยเข้าไปหักข้าวโพดในไร่และถอนถั่วลิสงมาต้มกิน ไปเด็ดแตงโมที่เกลื่อนกลาดเต็มพื้นทรายมาผ่ากิน แล้วปลูกกระท่อมชั่วคราวด้วยไม้ไผ่ลำเล็ก ๆ มุงหลังคาด้วยผ้าจากเมืองโหม่งหยั่ว  จากนั้นก็นอนหลับสักงีบหนึ่ง พอตื่นขึ้นมาก็มองไปตามแนวภูเขาสีคราม เหม่อมองไปที่ก้อนเมฆ นึกแล้วคิดถึงสิ่งเหล่านี้ซะเหลือเกิน


ตอนนี้ บนเกาะนั้น ทำอะไรกันอยู่นะ


กำลังทำประตูน้ำกั้นอยู่มั้ง  ตอนที่ฉันไปดู เห็นเขากำลังขุดร่องลึกอยู่  แต่ทราย  ตม ตะกอนดินกลับพังลงไปในร่อง  ถ้าไม่รู้ว่างานจะเสร็จได้เมื่อไร  ก็ได้แต่ทำไปวัน ๆ เท่านั้นแหละ


ทเวหยี่เดินกลับออกมาจากครัวแล้วตรงมาที่โต๊ะของยายพร้อมกับพูดเสียงดังทั้งๆที่จริงแล้วนั้น ครัวกับโต๊ะของยายอยู่ไม่ไกลกันนัก และใช่ว่าบ้านของเขานั้นจะใหญ่โต  ทเวหยี่หยุดยืนใกล้ๆโต๊ะ แล้วเหม่อมองไปยังหน้าบ้าน


แล้วจะข้ามคลองที่อยู่ติดกับด้านเหนือของหมู่บ้านไปได้อย่างไร


ก็ถมคลองไปเลยล่ะสิ


ยายผงกหัวแสดงความเห็นด้วย แล้วเหลือบไปมองช่อดอกผักตบชวาสีม่วงบานอยู่ท่ามกลางกอผักตบชวาสีเขียวสดลอยบนผิวน้ำในคลองด้านเหนือของหมู่บ้าน ตรงท่าเรือตรงนี้เมื่อก่อนมักจะมีแพจากทางเหนือหรือ เรือขายโอ่งลงยามาจอด  หวนคิดถึงสมัยที่ยายเป็นเด็กได้เป็นเพื่อนกับครอบครัวที่อยู่บนเรือที่ยายมักจะขึ้นไปบนเรือสัมปั้นแล้วซื้อโอ่งลงยา ลูกตาล ครกและอ่าง  บนเรือสัมปั้นนั้นมีหมามาด้วย บางครั้งหมาของยายกับหมาบนเรือมักกัดกันจนสุดท้ายหมาทั้งสองตัวตกลงไปในน้ำดังตูม ซ้ำยังไล่กัดกันต่อในน้ำอีก ช่างเป็นหมานักสู้  กัดเก่งจริง ๆ


ถ้าอย่างงั้น แม่น้ำอิรวดีก็ต้องอยู่ที่ด้านตะวันตกของหมู่บ้านละสิ แล้วจะไม่ไหลเข้ามาคลองข้างๆหมู่บ้านของเราแล้วเหรอ แล้วปีหนึ่งๆน้ำจะไหลเข้ามาในหมู่บ้านอีกหรือเปล่า


                ยายถามด้วยความสนใจ


น้ำจะไหลเข้าหรือไม่ไหลเข้าอันนี้ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน


                ทเวหยี่ตอบกลับยายไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆน้ำเหรอ...ยายดูจะมีความสุขกับการที่มีน้ำไหลเข้ามาในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะเป็นตอนที่น้ำเริ่มไหลเข้ามาจากบริเวณวัดหัวหมู่บ้าน หรือตอนที่น้ำเข้ามาถึงหมู่บ้านภายในคืนเดียว ยายก็ต้องขนย้ายข้าวของจากใต้ถุนบ้าน หากตอนน้ำขึ้น ก็จะทำสะพานชั่วคราวที่เดินได้เพียงแถวเรียงหนึ่งสำหรับข้ามไปมาระหว่างหมู่บ้านด้านหน้าและด้านหลัง โดยเอาแผ่นไม้ยาวมาวางพาดบนเสา  หากน้ำในแม่น้ำ
อิรวดีค่อย ๆ เพิ่มขึ้น พวกยายก็ไม่เดือดร้อนอะไร  แต่ถ้าน้ำเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อไรสะพานไม้ชั่วคราวที่ทำไว้ก็จะลอยไปกับน้ำ   บรรดาเด็กหนุ่มในหมู่บ้านก็จะพากันว่ายน้ำไปกู้พื้นไม้สะพานกลับมาวางพาดไว้ที่วัด


                ที่วัดตรงหัวหมู่บ้านมีเรือลำป้อม ๆ อยู่ลำหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า ชเหว่-มแย้ะโลง(ดวงตาสีทอง) เรือลำนี้ทำจากเสาราชวังของพระราชา  แล้วปิดทองลงบนดวงตานูน ๆ ด้านหน้าของเรือ  ยายเองไม่เคยโดยสารเรือลำนี้หรอก ว่ากันว่าผู้หญิงไม่สมควรขึ้น  ตอนเช้า ๆ เณรจะใช้ไม้พายยาว ๆ พายเรือออกมาบิณฑบาตกันอย่างทุลักทุเล ส่วนยายก็เอาเรือสัมปั้นออกมาอุดชันยาแล้วพายออกจากบ้านไป งูแมวเซาที่มากับน้ำยังแอบมานอนขดอยู่ที่ปลายกิ่งมะปราง


แม้หมู่บ้านของพวกเราจะอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ แต่ก็ไม่มีใครทำอาชีพประมงเลยสักคน และแม้จะมีรังผึ้งห้อยระย้าอยู่ตามต้นมะม่วง ต้นมะปราง ต้นบุนนาค และต้นงิ้วก็ตาม แต่ก็ไม่มีใครตีเอารังลงมา คนในหมู่บ้านของเราไม่มีนิสัยที่ชอบทำลายรังนกเพื่อเอาไข่ของมัน


ยายพูดราวกับฝัน


ยาย   พูดอะไรอยู่หรือ


                ทเวหยี่ลากเก้าอี้มานั่งใกล้กับยาย   รินน้ำชาใส่ถ้วย  แล้วยกไปแนบกับริมฝีปาก จากนั้นก็เป่าเบาๆ


นี่..ทเวหยี่ น้ำชาไม่ร้อนสักหน่อย  เอ   แต่เดี๋ยวก่อน...หากหมู่บ้านของเรามีไฟฟ้าสว่างไสว ราคาเทียนไขคงจะถูกลง สมัยก่อน เราจุดตะเกียงโป๊ะตอนกลางคืนแล้วทอผ้ากัน และไม่เคยมีรถยนต์เข้าถึงหมู่บ้านสักคัน แต่ถ้าต่อไปภายหน้ารถยนต์จากสนามบินนานาชาติผ่านหมู่บ้านของเรา พวกหล่อนคงจะโบกมือเรียกรถเพื่อเดินทางไปเมืองมัณฑะเลได้อย่างสบาย 


                เสียงทอผ้าจากหมู่บ้านวันนี้ฟังราวกับว่าหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง  วันนี้ยายไม่ได้ยินเสียงโก่ตะโย้ะ(ใช้เรียกคนพม่าผิวขาว)           ร้องเพลงในขณะที่ทอผ้า  ได้ยินเพียงเสียงของเครื่องจักรเท่านั้น จะพูดไปแล้ว หูยายนับว่ายังใช้การได้ดีทีเดียว  เครื่องจักรนั้นมีพละกำลังมากและดูเหมือนว่าพวกมันกำลังทำหน้าที่ตามคำสั่ง เสียงของเครื่องจักรราวกับรูปร่างของมันซึ่งใหญ่โตโอ้อวดสายตาคน  


รถคันใหญ่ที่ยายว่าน่ะ บรรทุกชาวต่างชาติมาเต็มคันรถเลย  ถ้าฉันไปโบก รถจะหยุดให้ไหมล่ะยาย


น้ำเสียงของทเวหยี่คราวนี้ไม่เพียงแต่จะไม่แสดงความหยาบคายกับยาย  แต่กลับดูอบอุ่น


                ยายคาบบุหรี่ขี้โย  แล้วจุดไฟแช็คด้วยหัวแม่มือ เมื่อเกิดเปลวไฟ ยายก็เอาบุหรี่มาต่อ   ยายดูจะพึงพอใจกับการที่ได้สูบบุหรี่ และยังคงสูบมันต่อไปเรื่อยๆ


                ใบหน้าเหี่ยวย่นของยายที่ค่อนข้างหมอง และดูยิ่งหมองขึ้นไปอีกเมื่ออยู่ท่ามกลางควันบุหรี่ แม้ว่าจะไม่อาจรับรสของชาจากแก้วเคลือบใบเล็กๆก็ตาม แต่ยายก็ยกชาดื่มจนหมดเกลี้ยง


                เมื่อดื่มชาจนหมด ยายก็หันกลับมาสูบบุหรี่ที่เหลือมวนนั้นต่อ ใบหน้ายิ้มกริ่มท่ามกลางควันบุหรี่ คล้ายกับยายกำลังย้อนกลับไปในอดีตพร้อมๆกับควันบุหรี่เหล่านั้น ยายกำลังมองดูนกเขาตัวเล็กสองตัวที่เกาะอยู่ท่ามกลางเถาไม้เลื้อยในขณะที่เดินไปตามริมคลองฝ่าเท้ายายก็โดนหนามหญ้าเกี่ยว เหล่านกกินปลีตัวเล็กๆ ที่อยู่บนต้นไม้ช่างดูน่ารักนัก  ยายที่เดินหายวับไปกับควันบุหรี่ กลับเข้ามาบนเรือนเล็ก ๆ อีกครั้ง  ทเวหยี่ก็กำลังหุงข้าวพร้อมกับครวญเพลงไปพลาง


                ขณะที่ทเวหยี่กำลังตั้งหม้อข้าวใบเล็กๆบนเตาอยู่   ใจก็เต้นระรัวเมื่อจู่ๆ เกิดคิดถึงแฟนขึ้นมา พลางเอามือคลำจดหมายเล็กๆที่พับอยู่บริเวณหว่างอกอย่างร้อนรน  ไม่รู้เลยว่าเช้านี้ เธอลูบคลำจดหมายแฟนที่ตรงอกไปแล้วกี่ครั้ง น่าจะเป็นจดหมายที่พวกเขานัดพบกันที่ใต้ต้นไทรคืนนี้อย่างแน่นอน


            ถ้าหากแอลดิสัน(ยี่ห้อหลอดไฟ)และเฮนรี่ ฟอร์ด (ยี่ห้อเครื่องจักร) เข้ามา แล้วจะอยู่กันอย่างไร หากหมู่บ้านเล็กๆกลายเป็นเมือง ยายกับทเวหยี่จะตอบโต้กับเมืองใหม่นี้อย่างไร


เขาสองคนหลบอยู่ใต้ต้นไม้  เพียงเพราะไม่กล้ามองแสงจันทร์(เป็นท่อนเพลงที่ทเวหยี่ร้อง)


                ทเวหยี่กำลังจินตนาการถึงเพลงรักแสงจันทร์ท่ามกลางเหล่าต้นไม้ใบไม้  และใบหน้าของคนรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า  เป็นไปไม่ได้ที่แอนดิสันและแฮนรี่ฟอร์ดจะรู้สึกได้ถึงรสชาดความมันของลูกสมอหรือความเปรี้ยวของมะปรางสุกได้  แม้มะม่วงที่อยู่ในวัดแม้จะผลเล็กแต่ก็มีรสหวาน  เขามักจะเก็บผลที่หล่นลงมาจากต้นยามต้องลมฝนมาฝากเธอเสมอ  จนเธอเผลอคิดไปว่า เมื่อไหร่จะได้อยู่ด้วยกันอย่างเปิดเผยซะที


                ทันที่ที่ได้ยินเสียงของเครื่องจักร ฝันเฟื่องเรื่องความรักของเธอก็แตกสลายไปทันที แต่ไม่เป็นไร ทเวหยี่นั้นมีความฝันอยู่มากมาย  ถึงแม้จะแตกสลายไปบ้างแล้วก็ตาม แต่เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นมาอีก ไม่จำเป็นต้องเสียใจอะไร  แม่ของทเวหยี่ซึ่งไปขายพวงมาลัยบริเวณข้างบันไดมุขด้านเหนือของเจดีย์ยังไม่กลับมาเลย  เมื่อแม่กลับมาก็ใช่ว่าจะบอกให้แม่รู้ได้ จะต้องเก็บงำมันเอาไว้ในใจ


นี่  ทเวหยี่


ยายตะโกนเอิ้นเรียกทเวหยี่จากบริเวณโต๊ะ


อะไรยาย  ตะโกนตกอกตกใจ  นี่...หม้อข้าวจะเดือดแล้ว


ทเวกยี่ออกอาการเคืองกับเสียงของยายที่มาทำลายความฝันของเธอ


นี่ แล้ววันนี้  เอ็งจะทอผ้าหรือเปล่า


                ทเวหยี่แวบคิดไปถึงแบบของลายผ้าไหมซึ่งเป็นพื้นสีเหลืองเหลือบม่วงที่ยังทอไม่เสร็จ


ทอสิยาย  เดี๋ยวหุงข้าวให้สุกก่อนแล้วจะไป


นี่ พวกแม่หนูที่กำลังขนดินบนเกาะด้านโน้น น่าจะได้เงินเยอะนะ แล้วเอ็งไม่ไปขนกับเขาบ้างเหรอ


ก็บอกแล้วว่า ฉันหุงข้าวเสร็จก็จะไปทอผ้า  ยายนี่...พูดไม่รู้เรื่องเลย


นี่.. แต่มันได้เงินเยอะนะ


ได้เงินเยอะขนาดไหนก็ไม่ไปหรอก  ฉันจะทอผ้าอย่างเดียว


แล้วทั้งยายและทเวหยี่ก็ได้ยินเสียงลมพัดผ่านใบไม้ดังซู่ดังมาจากต้นไทรหลังบ้าน


นี่... ทเวหยี่  ต้นไทรหลังบ้านของเรายังอยู่เลยนะ


ทเวหยี่ไม่ได้ตอบยายกลับไปสักคำ  ดวงตาของยายมองไม่เห็นการนัดพบกับคนรักทุกคืนที่ใต้ต้นไทร แต่หัวใจของทเวหยี่มองเห็นภาพที่ยายมองไม่เห็นอยู่ตลอดเวลา


หัวใจของทเวหยี่เต้นตึกตัก เธอเอามือลูบคลำจดหมายที่พับซ่อนไว้ตรงหว่างอกหลายครั้งหลายครา  เสียงลมพัดแทรกผ่านใบไม้เหล่านั้นจะใช่เสียงเพลงแห่งรักหรือเปล่านะ แต่เสียงเครื่องจักรมันอยู่บนเกาะฝั่งโน้นนี่นา


      


 


 


                                                                                            จากนิตยสารชเหว่-อะมยุ่-เต่-แม็กกาซีน


                                                                                                   เดือนตุลาคม 1997

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น