วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

เรื่องสั้น กระต่ายน้อยในอุ้งมือนายพราน

จ่ออูกับผมทำงานแผนกเดียวกัน เราสองคนเป็นเพื่อนที่สนิทกันที่สุด พรุ่งนี้ผมกับจ่ออูต้องไปย่างกุ้ง เพื่อทำธุระบางอย่าง
"เพื่อน...ถ้าเราไปถึงย่างกุ้ง เราไม่พักที่กรมฯ นะ แต่จะไปพักที่โรงแรม จะได้อยู่อย่างสบายๆ ไง" จ่ออูพูดกับผมอย่างกระตือรือร้น

"หือ..นายว่าไงนะจ่ออู เอ...นายกำลังวางแผนอะไรบางอย่างแน่ๆ ใช่ไหม" จ่อ อูเบือนหน้าหนีพลางแอบยิ้มที่มุมปาก

"นายเข้าใจก็พอ" จ่ออูตอบกลับเพียงสั้นๆ ด้วยสีหน้ามีพิรุธ

จะว่าไปแล้ว เรื่องของจ่ออูผมรู้ดีที่สุด เขากับผมชอบดื่มเหล้าเหมือนกัน แต่จ่ออูมีนิสัยชอบลองหลายๆ อย่างไปพร้อมกันไม่เหมือนกับผม โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิง เขาจัดว่าเป็นพวกเสือผู้หญิงที่ร้ายกาจคนหนึ่งเลยทีเดียว

"หนู ชื่อผิ่วผิ่วอยู่ที่เมี่ยวต๊ะกงค่ะ"
เด็กสาวแนะนำตัวเองชัดถ้อยชัดคำ พร้อมกับเล่าเรื่องราวในชีวิตให้ผมฟังต่อไปว่า

"พ่อหนูทำงานไม่ไหวเพราะสุขภาพไม่ค่อยดี เมื่อก่อนพ่อทำงานรับจ้างแบกของตอนนั้นพ่อบอกว่าพ่อเหนื่อยมากและก็ชอบกินเหล้าทุกวันด้วย เหล้าทำให้สุขภาพของพ่อย่ำแย่มาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนแม่ของหนูขายของทอดอยู่ที่หน้าบ้านตอนช่วงเช้าๆ ค่ะ บ้านของหนูมีร้านขายของชำด้วย"
ผิ่วผิ่วเล่าเรื่องของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่ผมเองก็นั่งฟังอย่างตั้งใจ

"หนูมีทั้งน้องชายและน้องสาวยังเรียนหนังสืออยู่ทั้งคู่ คนหนึ่งอยู่ชั้นแปด อีกคนอยู่ชั้นหกค่ะ"

ผมสังเกตเห็นได้ว่า ยามที่ผิ่วผิ่วพูดถึงครอบครัวของเธอ สีหน้าและแววตาดูมี ทั้งประกายความสุขและหม่นเศร้าไปพร้อมๆ กัน อย่างไรก็ตาม ผมสัมผัสได้ว่าเธอรักครอบครัวมาก

"ลุงคะ" เธอเรียกผมอีกครั้ง พร้อมกับเล่าต่อไปว่า "ที่จริงแล้ว หนูก็อยากทำงานในบริษัทเหมือนคนอื่นๆ เขา แต่หนูยังเรียนไม่จบชั้นสิบเลย ถ้าหนูมีเงินหนูอยากเรียนพิเศษและอยากสอบ ชั้นสิบดูอีกครั้ง หนูคิดว่าในชีวิตของคนเราทุกคน นอกจากอากาศที่เราต้องใช้หายใจแล้ว เงินก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้มีชีวิตอยู่รอดได้ ลุงรู้ไหมคะ ตอนที่หนูย้ายมาอยู่ที่เมี่ยวต๊ะกง ใหม่ๆ ครอบครัวของหนูลำบากมาก บ้านของหนูก็เหมือนกับกระท่อมหลังเล็กๆ ช่วงนั้นพ่อเริ่มไม่สบาย น้องสองคนก็ต้องเรียน"

เธอหยุดไปชั่วครู่ ก่อนที่จะเริ่มพูดขึ้นอีกครั้ง

"มีเหตุการณ์หนึ่งที่หนูจำได้ไม่เคยลืมวันนั้นหนูและแม่ต้องจ่ายค่ายาของพ่อและค่าเทอมของน้อง จนเราไม่เหลือเงินซักจั๊ต หนูกับแม่เก็บกับข้าวไว้ให้พ่อและน้องๆ กิน ส่วนตัวแม่กับหนูต้องต้มข้าวกิน พอจะไปยืมเงินคนอื่น ก็ไม่รู้ว่าจะไปยืมได้ที่ไหน เพราะเราเพิ่งย้ายมาอยู่ใหม่จึงยังไม่รู้จักใครมากนัก แต่จะว่าไปแล้ว คนอื่นๆ เขาก็เหมือนกับครอบครัวของหนูที่ต้องหาเช้ากินค่ำเหมือนกัน"

เธอมองหน้าผมพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ "แต่วันหนึ่งแม่ไปขอยืมอาหารจากป้าคนหนึ่งที่เขาเปิดร้านอยู่ที่หมู่บ้านของ หนู แม่กล้าที่จะขอความช่วยเหลือจากป้าคนนี้ เพราะแกชอบมาซื้อของทอดจากแม่เป็นประจำ แกยังให้กับข้าวและให้เรายืมเงินอีก ห้าร้อยจั๊ตด้วย และยังบอกกับแม่หนูว่าให้หนูไปหาเขาที่ร้านเพราะเขามีงานให้หนูทำ ตอนนั้น หนูดีใจมาก เพราะรู้สึกว่า ในขณะที่เรากำลังลำบากยังอุตส่าห์มีคนหางานให้เราทำ มันเหมือนกับเวลาที่เราตกน้ำแล้วมีคนมาช่วยเหลือน่ะค่ะ"

ผิ่วผิ่วหยุดเล่าเรื่องของตัวเองสักพัก ทำให้ผมเริ่มสงสัย จึงอดไม่ได้ที่จะถามเธอบ้างว่า
"แล้วเกิดอะไรต่อไปหลังจากนั้น"

เธอมองหน้าผมชั่วครู่แล้วจึงเริ่มเล่าอีกครั้ง

"หนูก็ไปหาป้าคนนั้น แกพูดจาดีมากทำให้หนูมีความหวังและมีกำลังใจขึ้นมา ทันที หนูรู้สึกว่าอนาคตของหนูอยู่ในมือของป้าแล้ว หนูนับถือแกเหมือนแม่คน หนึ่งของหนู แกบอกกับหนูว่าจะสมัครงานให้หนูที่โรงงานแยมแห่งหนึ่ง หนูดีใจมาก หลังจากหนูทำงานได้สิบวันแกก็กลับมาเยี่ยมหนูอีกครั้ง มาคุยกับหนูว่าทำงานเป็นอย่างไรบ้าง งานดีไหม เงินที่ได้มาพอใช้หรือเปล่า หนูก็ตอบไปตามตรงว่าไม่พอ  แล้วแกก็เสนองานใหม่ให้หนูทำทันที แถมยังบอกว่าเจ้านายใหม่ของหนูคนนี้อนุญาตให้หนูเบิกเงินใช้ล่วงหน้าได้ พอ วันรุ่งขึ้นหนูกับป้าก็ไปนั่งรอเจ้านายคนใหม่ที่ร้านเครื่องดื่มแห่งหนึ่งใน ตัวเมือง ไม่นานผู้ชายคนนั้นก็มาถึง เขาแต่งตัวดีและใส่เสื้อผ้าอย่างดี รูปร่างไม่สูงใหญ่และไม่เตี้ยมากนัก แต่เวลาที่เขาหัวเราะ แทบมองไม่เห็นตาเขาเลยค่ะ"

ผิ่วผิ่วพูดพลางหัวเราะในลำคอเล็กน้อย ก่อนที่จะพูดต่อไปว่า
"พูดง่ายๆ ก็คือเขาเป็นคนตาตี่นั่นเอง เขามองหน้าหนูและพูดกับหนูหลายอย่าง หนูรู้สึกหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ และฝ่ามือเต็มไปด้วยเหงื่อ ทันใดป้าพูดกับหนูว่าให้ไปกับผู้ชายคนนั้นเพื่อที่จะได้รู้จักที่ทำงานใหม่ หนูอยากจะปฏิเสธแต่ก็ไม่กล้า ในที่สุดหนูก็ขึ้นรถไปกับเขา ตอนอยู่บนรถ ผู้ชายคนนั้นถามเกี่ยวกับครอบครัวของหนู และบอกว่าเขาจะเป็นคนช่วยเหลือครอบครัวของหนูเอง คำพูดของเขาเหมือนพระเอกในหนังที่ฟังแล้วดูดีมาก เขายังพาหนูไปที่ห้างสรรพ สินค้าชั้นนำแห่งหนึ่งในเมือง หนูไม่เคยเข้าห้างแบบนี้มาก่อน อย่างมากสุดก็ แค่เคยผ่านไปผ่านมาเท่านั้น"

"แล้วเกิดอะไรขึ้นล่ะ"
ผมเริ่มสนใจเรื่องราวของผิ่วผิ่วเพิ่มมากขึ้น

"เขาก็บอกกับหนูว่าอยากได้อะไรก็บอกมาพี่จะซื้อให้ ของที่เขาซื้อให้หนูถึงจะไม่เยอะ แต่ราคาก็แพงมาก ในตอนนั้น พนักงานขายของจ้องมองมาที่เรา เวลานั้นหนูรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก รู้สึกเหมือนเป็นคนรวยขึ้นมาทันทียังไงยังงั้น"

ผิ่วผิ่วพูดพลางหัวเราะเยาะตัวเอง
"หลังจากซื้อของเสร็จเขาก็พาหนูไปที่ห้องทำงานของเขา หนูถามเขาว่าทำไมไม่เห็นพนักงานเลยสักคน แต่เขากลับตอบหนูว่าที่นี่คือห้องทำงานพิเศษ เขาให้หนูดื่มน้ำผลไม้เย็นๆ แก้วหนึ่งอ้างว่าเพื่อให้หนูหายเหนื่อย หลังจากนั้นเขาก็ให้เงินหนูหนึ่งแสน จั๊ตและบอกว่าเป็นค่าจ้างสำหรับหนู ในชีวิตของหนูไม่เคยได้เงินเยอะมากมายขนาดนี้มาก่อน ในตอนนั้นหนูรู้สึกไม่ เชื่อสายตาตัวเอง หนูทำงานทั้งปียังอาจไม่ได้เงินเยอะขนาดนี้และตอนนั้น พอเห็นเงินเป็นปึกๆ ทำให้รู้สึกเวียนหัวขึ้นมาทันที หนูเริ่มรู้สึกได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้างกับสิ่งที่ผู้ชายคนนั้นพูดกับหนู  เหมือนว่ากำลังฝัน และหลังจากนั้นหนูก็ไม่รู้ตัวอีกเลย"

ผิ่วผิ่วเงียบไปชั่วขณะพร้อมกับเบือนหน้าหนีไปทางอื่น ในขณะที่ผมเองพอเดา สถานการณ์ได้บ้างว่าอะไรเกิดได้ขึ้นกับเธอ
"หนูรู้สึกตัวอีกที" เธอพูดพลางก้มหน้ามองต่ำ

"ลุงคะ...หนูน่ะ...ในใจตอนนั้นรู้สึกเสียใจมาก หนูไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับหนูบ้าง แต่หนูรู้ดีว่าได้สูญเสียอะไรบางอย่างไปแล้ว ในใจของหนูตอนนั้นมีแต่ความว่างเปล่า หนูได้แต่ร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันช่างเป็นเรื่องที่เจ็บปวดเหลือเกินสำหรับหนู แต่พอหนูคิดถึงภาพครอบครัวของหนูที่ต้องอยู่อย่างยากลำบาก ท้ายสุด มันทำให้หนูตัดสินใจเองที่จะเลือกใช้ชีวิตที่จมอยู่ในโคลนแบบนั้น หนูตัดสินใจนอนกับผู้ชายคนนั้นเพื่อหาเงินมาช่วยครอบครัว หลังจากนั้นหนูกับ เขาก็เจอกันอาทิตย์ละสองครั้ง เขาดูแลหนูอย่างดี ไม่ว่าครอบครัวของหนูต้องการอะไรเขาก็จะหามาให้ ต่อมา บ้านของหนูก็เลยกลายเป็นบ้านที่ดีที่สุดในหมู่บ้าน ผู้ชายคนนั้นเคยเล่าให้หนูฟังว่า บ้านเกิดของเขานั้นอยู่แถวชายแดน และเขายังบอกว่าหนูเป็นผู้หญิงที่เขารักที่สุดเท่าที่เจอมา แต่ไม่นานนักพอรู้จักกับเขาได้ปีกว่า หนูก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย ติดต่อยังไงก็ติดต่อไม่ได้ เงินที่เขาให้มา ครอบครัวของหนูก็เอาไปขยายร้าน ชำ ส่วนร้านขายของทอดของแม่ที่เปิดตอนเช้าแม่ก็เอาของมาทอดขายเพิ่ม"

"ถ้ายังงั้นทำไมหนูต้องมาใช้ชีวิตอยู่แบบนี้ล่ะ"  ผมอดที่จะถามผิ่วผิ่วไม่ได้เช่นเดิม ซึ่งเธอก็ตอบกลับมาทันทีเช่นกันว่า "หนูพูดตรงๆ เลยว่าเมื่อก่อนหนูอยู่กับเขาหนูใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยมาก ตอนนี้เขาไม่อยู่กับหนูแล้ว หนูก็เลยต้องหาเงินมาใช้เอง ชีวิตของหนูจึงต้อง มาขายตัวแบบนี้ นี่คือเรื่องราวชีวิตของหนูทั้งหมดค่ะ"

"อืม... " ผมได้แต่ตอบเธอไปอย่างงั้น แต่ก็อดที่จะไม่แนะนำเธอบางอย่างไม่ได้
"ผิ่วผิ่วฟังนะ ชีวิตคนเรามันก็มีหลายแบบ แต่หนูต้องจำไว้ว่าช่วงที่เรามีชีวิตอยู่เราต้องตั้งใจทำมาหากินที่สุจริตและเราต้องพอใจในสิ่งที่เรามี เราไม่ควรหวังในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้มากเกินไป เพราะมันอาจทำให้เราต้องเสียใจในภายหลังได้ ถ้าหนูรู้ว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ไม่ดี หนูก็ควรแก้ไขและเดินไปในทางที่ดี และอย่าปิดบังในเรื่องบางเรื่อง ถ้าเรา ยิ่งปิดบังมันยิ่งจะมีปัญหามากขึ้นเท่านั้น และมันจะยิ่งทำให้หนูทุกข์มาก ขึ้นด้วยซ้ำ และท้ายสุดหนูก็จะไม่มีอนาคต"

ผิ่วผิ่วนั่งฟังผมอย่างตั้งใจ ผมจึงพูดต่อไปอีกว่า"หนูอย่าคิดว่าหนูไม่มีทางเลือก ในชีวิตของเรา เราไม่ควรแพ้ถึงสองครั้ง ตั้งแต่นี้ต่อไป ลุงไม่อยากให้หนูผิดซ้ำอีก ลุงอยากให้หนูเดินไปในทางที่ดีนะ"

ผิ่วผิ่วมองหน้าผมด้วยสีหน้าและแววตา จริงจัง ก่อนที่เธอจะตอบออกมาว่า
"ค่ะ...หนูจะพยายาม หนูไม่อยากให้คนอื่นต้องดูถูกหนูอีกแล้วค่ะ"
"อืม...ดีแล้ว ลุงอยากจะบอกกับหนูอีกอย่างหนึ่งว่า ลุงอยากเห็นคนที่ทำงานเหมือนหนูกลับตัวกลับใจเหมือนหนู หนูช่วยพูดกับพวกเขา ด้วยนะ และลุงอยากจะเตือนสติหนูว่า อย่าเชื่อคำพูดของคนอื่นง่าย อย่าเอาหรือกินของคนอื่นง่ายนะ"

ทันใดนั้น จ่ออูออกมาจากห้องพร้อมกับเพื่อนของผิ่วผิ่วซึ่งมีท่าทางเมาได้ ที่แล้ว
"เฮ้...อองมิว นายกำลังสัมภาษณ์น้องสาวคนนั้นเรื่องอะไรอยู่น่ะ นายอยากจะทำอะไรก็ลงมือทำ เร็วๆ เข้า พวกน้องๆ เขาต้องเดินทางกลับไกลนะ..."
"จ่ออู! นายพูดอะไรอยู่ ฉันเคยทำแบบนั้นเมื่อไหร่ล่ะ"
ในขณะที่จ่ออูก็ตอบกลับทันทีว่า
"เออ...ใช่สิ ในโลกนี้ถ้ามีผู้ชายนิสัยเหมือนนายมากเกินไป โลกคงไม่เจริญแน่"
"จ่ออู! นี่นายกำลังดูถูกศักดิ์ศรีของฉันมากเกินไปแล้วนะ"
ผมได้แต่เถียงจ่ออูที่กำลังเมาโดยไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรกับผม ในขณะเดียวกัน ผิ่วผิ่วกับเพื่อนๆ ของเธอก็พูดแทรกขึ้นมาบ้างว่า
"พวกหนูขอร้องล่ะค่ะ อย่าทะเลาะกันเลยนะคะลุง"

ผมจึงหันมาบอกกับผิ่วผิ่วและเพื่อนๆ ของเธอว่า
"ถ้าอย่างนั้นพวกหนูก็กลับกันไปก่อนเถอะนะ ผิ่วผิ่วอย่าลืมที่ลุงสั่งล่ะ"

ผิ่วผิ่วพยักหน้าอย่างเข้าใจพร้อมบอกผมกลับว่า"ค่ะ ไว้ใจได้เลยค่ะลุง หนูจะพยายามค่ะ ไปก่อนนะคะลุง"
"อืม" ผมได้แต่พยักหน้าตอบผิ่วผิ่วและเชื่อว่าเธอต้องทำได้

"ผิ่วผิ่ว ชีวิตของเธอนั้นช่างเหมือนกับกระต่ายน้อยจริงๆ จึงไม่แปลกเลยที่ กระต่ายน้อยอย่างเธอจะต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของนายพรานผู้ที่ชำนาญในการล่าเหยื่อ"

ผมได้แต่บอกกับตัวเองอยู่ในใจลึกๆอย่างนั้น พร้อมๆ กับความรู้สึกสงสารเด็ก สาวคนนั้นขึ้นมาจับใจอย่างบอกไม่ถูก.

แปล : Numripan

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น