วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

เรื่องสั้น ของฝากจากเมืองกรุง

เมื่อกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดทีไร หลายคนก็มักจะถูกคนรู้จักหรือเพื่อนสนิทถามอยู่เสมอว่า  "ไปอยู่ไหนมาตั้งนาน?"  "มีของฝากติดไม้ติดมือมาด้วยหรือเปล่า ?" ซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนั้น จนบางครั้งขี้เกียจตอบและต้องยกไม้ยกมือตอบกลับแทนคำพูดเลยก็มี

 

เอตีดานั่งคิดอยู่ในใจว่า เมื่อเธอกลับถึงบ้านก็คงจะถูกตั้งคำถามแบบนี้เช่นกัน  "แล้วฉันจะทำยังไงดี หรือว่าจะปล่อยให้คนอื่นเค้าถามไป" เอดีตาตั้งคำถามและตอบตัวเองอยู่ในใจวนไปวนมาอยู่อย่างนั้น ทันใดนั้น เสียงใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง

"เอตีดาจะกลับบ้านแล้วใช่ไหม?" เสียงของเจ้านายตะโกนถามจากข้างนอก
"จะกลับพรุ่งนี้เช้าค่ะพี่" เอตีดาตอบกลับ พลันเสียงของเจ้านายถามกลับมาอีกครั้งว่า
"พี่ได้คิดเงินเดือนให้เอตีดากับเมียะเมียะโมไว้เรียบร้อยแล้วนะ"

ไม่นานนักเจ้านายของเอตีดาก็เดินเข้ามาในห้องพร้อมยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้ "นี่เงินเดือนของเธอ" เอตีดารับเงินมาแต่ก็ต้องตกใจ เธอหันหน้าไปมองเจ้านายแล้วพูดขึ้นว่า "ทำไมเงินเดือนหนูได้น้อยจังพี่"

เจ้านายของเธอหยุดหันกลับมามองขณะกำลังจะเดินออกจากห้องและพูดขึ้นว่า  "ก็พี่หักเงินที่เธอไม่ได้คิดค่าเบียร์ลูกค้า รวมกับค่ากระจกของร้านที่ลูกค้าทำแตกออกไปด้วยน่ะสิ ก็...."

เจ้านายของเอตีดาหยุดพูดนิดหนึ่งพลางชำเลืองมองตาเอตีดาและพูดขึ้นว่า  "ก็..กระจกน่ะแพงมากเธอก็รู้ไม่ใช่หรือ"
"แต่ลูกค้าก็คือลูกค้าของพี่ไม่ใช่รึ" เอตีดารีบเถียงกลับทันทีด้วยสีหน้าไม่พอใจ

บทสนทนาระหว่างเอตีดาและเจ้านายของเธอเริ่มร้อนระอุขึ้น เจ้านายของเอตีดารีบตอบกลับเช่นเดียวกันว่า "ถึงจะเป็นลูกค้าของที่ร้าน แต่นั่นก็เป็นลูกค้าประจำของเธอ ดังนั้นเธอต้องรับผิดชอบ"

"แต่เรื่องขายเบียร์อะไรนั่น มันไม่ได้เกี่ยวกับฉันเลยนะ ทำไมฉันต้องชดใช้เงินให้ด้วย" เอตีดาแย้ง

เจ้านายมีสีหน้าไม่พอใจขึ้นมาทันที และตอบกลับมาด้วยเสียงห้วนๆ เช่นเดียวกันว่า "ถึงมันจะไม่เกี่ยวกับเธอ แต่มันคือธุรกิจของฉัน แต่จำไว้นะ...ฉันอยากจะทำอะไรก็ได้ เพราะที่นี่มันเป็นร้านของฉัน" พูดจบเจ้านายก็เร่งฝีเท้าออกมาจากห้องของเอตีดาด้วยความโกรธ

"ใช่สิ" เอดีตาคิดขึ้นในใจว่า "เขาจะทำอะไรก็ได้เพราะที่นี่มันเป็นร้านของเขา เถียงไปก็มีแต่จะแพ้เท่านั้น" เอตีดาจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะทวงเงินคืนและไม่อยากคิดอะไรอีกแล้ว

เมียะเมียะโมเพื่อนรุ่นน้องของเอตีดาเองกำลังเก็บข้าวของกลับบ้านเช่นเดียวกัน เธอถาม
เอดีตาว่า "พี่ได้เงินเดือนรึยัง" พลางหันมามองหน้าเอตีดา
"ได้แล้ว" เอตีดาตอบด้วยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย
"แล้วเป็นยังไงบ้างล่ะ" เมียะเมียะโมถามอีก

เอตีดาถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตอบว่า "ก็เหมือนเดิม เขาอยากได้เท่าไหร่ก็เอาไปหมด ในเมื่อยังมีคนอย่างพวกเราให้พวกเขากดขี่รีดไถนี่นะ" เอตีดาตอบพลางหันไปมองหน้าเมียะเมียะโมบ้าง สองสาวมองตากันชั่วครู่ก่อนที่ต่างคนจะต่างหัวเราะออกมาเสียงดัง ทว่า เสียงหัวเราะนั้นกลับไร้ชีวิตชีวาแฝงไว้แต่ความขมขื่นในโชคชะตามากกว่า

"เมื่อก่อนโมลำบากมากจึงจำใจมาทำงานที่นี่" เมียะเมียะโมพูดขึ้นบ้าง พลางทิ้งตัวลงบนที่นอนหลังจัดแจงข้าวของเสร็จ

"พี่ก็เหมือนกัน" เอตีดาตอบในขณะที่สายตามองขึ้นไปยังเพดานห้องที่มีแสงไฟนีออนส่องสว่าง

"นอกจากตัวเรา หวังว่าคงไม่มีใครรู้ว่าเรามาทำงานอะไรนะ" เมียะเมียะโมพูดขึ้นอีก
"เรามาลืมเรื่องนี้กันเถอะเมียะเมียะโม" เอตีดาตัดบทเหมือนไม่อยากจะจดจำอะไรที่เลวร้ายในอดีตอีกแล้ว
"แล้วพี่แน่ใจหรือว่าพี่จะลืมเรื่องต่างๆ ได้" เมียะเมียะโมพูดขึ้นอีกครั้ง

แต่เอตีดาไม่อยากจะตอบคำถามเมียะเมียะโมอีกแล้ว พลางนอนหันหลังให้เมียะเมียะโมเพื่อตัดบทสนทนาและพยายามข่มตาให้หลับแต่ก็ทำไม่สำเร็จซักที ไม่เหมือนเมื่อก่อน เอตีดาคิดในใจ ถึงแม้จะมีเรื่องให้กลุ้มใจหรือจะทะเลาะกับพ่อแม่รุนแรงแค่ไหน เมื่อหัวถึงหมอนเมื่อไหร่ก็หลับเป็นตายทุกที แต่จำได้ว่าเคยมีอยู่คืนหนึ่งที่นอนไม่หลับอยู่เหมือนกัน เธอเอามือกอดอกตัวเองพร้อมกับทบทวนภาพความทรงจำในอดีตอีกครั้ง

"ลูกต้องไปทำงานในร้านอาหารที่เมืองตองตูนจีนะลูก" คำพูดของแม่ที่บอกกับเอตีดาเมื่อตอนอายุได้เพียง 15 ปี แม้จะไม่เข้าใจคำพูดของแม่ในตอนแรก และเคยได้ยินแต่ชื่อเมืองตูนตองจีจากปากเพื่อนเท่านั้น แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่พ่อกำลังป่วยเป็นโรคหืดและน้องอีกสี่คนที่จะต้องเรียนหนังสือแล้ว เธอก็ยอมไปทำงานในเมืองตองตูนจีตามที่แม่บอก เอตีดายังจำคำพูดของแม่ในวันนั้นได้ดีที่บอกว่า

"เพื่อครอบครัวของเรา ลูกจะต้องไปทำงานที่เมืองตองตูนจีในวันพรุ่งนี้นะลูก เพราะแม่เอาเงินเขามาล่วงหน้าแล้ว ช่วยแม่ซักสามเดือนนะลูก ถ้าครบสามเดือนเมื่อไหร่แม่จะไปรับลูกเองเลย" คืนก่อนจากครอบครัวไปทำงานที่เมืองตองตูนจีจึงเป็นคืนแรกที่เอตีดานอนไม่หลับทั้งคืน เธอคิดถึงตัวเองในครั้งนั้นที่พยายามเข้มแข็งไม่ร้องไห้เพราะไม่อยากให้พ่อแม่และน้องๆ ต้องกังวลใจ

งานในร้านอาหารที่เมืองตองตูนจีไม่ได้หนักหนาสาหัสสำหรับเอตีดาเท่าไหร่นัก เพราะเธอหุงข้าวเป็นตั้งแต่อายุ 8 ขวบ นอกจากมีหน้าที่ทำกับข้าวแล้ว เธอยังขยันขันแข็งช่วยทำงานในร้านทุกอย่างจนเจ้าของร้านรักและเอ็นดูเหมือนลูกและให้เงินพิเศษอยู่บ่อยครั้ง เอตีดาเก็บเงินส่วนนั้นส่งให้แม่ทุกเดือน ตอนแรกคิดจะทำงานร้านอาหารที่เมืองตองตูนจีแค่สามเดือน แต่พอได้ทำงานไปซักพักก็คิดอยากช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่จึงตัดสินใจอยู่ที่เมืองตองตูนจีต่อ

"ครอก...ฟี้ๆ" เสียงกรนของเมียะเมียะโมนั่นเอง เอดีตามองเพื่อนสาวที่กำลังนอนหลับอย่างมีความสุข พลางอวยพรให้ในใจว่า "ขอให้เธอฝันถึงแต่เรื่องดีๆ นะ อย่าได้ฝันร้ายเหมือนฉันเลย" เพราะตั้งแต่ลาออกจากร้านอาหารที่เมืองตองตูนจีมาแล้วก็มีแต่ฝันร้ายทุกคืน นั่นเป็นเพราะความอยากสวย อยากเด่น อยากมีเหมือนคนอื่นๆ เขา เธอได้แต่พร่ำบอกกับตัวเองและหวนนึกถึงอดีตอีกครั้ง

ร้านอาหารที่เอตีดาทำงานขายดีขึ้นทุกวัน เจ้าของร้านต้องรับพนักงานใหม่เพิ่มอีกคนแล้วให้เธอออกมาช่วยขายของหน้าร้านแทน นับตั้งแต่ออกมาช่วยหน้าร้าน เธอก็เริ่มแต่งตัวแต่งหน้ามากขึ้นเพราะต้องเจอกับลูกค้า เอตีดาชอบส่องกระจกใบหนึ่งของร้านทุกๆ วัน ใครที่เห็นก็ ต้องอมยิ้มให้กับพฤติกรรมของเธอ หลังจากนั้นไม่นานสาวรุ่นอย่างเอตีดาก็มีแฟนเป็นคนขับรถบรรทุกส่งของชื่อ "กู่แล้ตา" เวลาที่เขามาส่งของที่เมืองตองตูนจีก็มักจะแวะมาหาเอตีดาและกินข้าวที่ ร้านอยู่เสมอ เวลาที่กู่แล้ตามาหาที่ร้านก็มักจะชมเธอว่า "สวยขึ้นทุกวันเลยนะแม่ทูนหัว" ได้ยินคำนี้เมื่อไหร่ เธอก็จะดีใจจนตัวลอย และมักแต่งตัวให้สวยที่สุดในวันที่แฟนหนุ่มมาหา ไม่เพียงแค่นั้น ในระยะหลังกู่แล้ตามักจะมีของขวัญมาฝากเป็นประจำ ทำให้ยิ่งรักยิ่งหลงเข้าไปใหญ่

จนวันหนึ่งเอตีดาตัดสินใจจะเดินทางกลับบ้านเพื่อไปอยู่กับพ่อแม่ซักพัก แต่กู่แล้ตาไม่ยอมให้เอดีตากลับบ้านเพราะไม่อยากห่างกัน เธอจึงตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขาโดยส่งข่าวให้พ่อแม่รับรู้ว่ากำลังจะมีครอบครัว แต่หลังจากไปอยู่กับกู่แล้ตาที่เมืองปี่เธอก็ไม่เคยส่งข่าวกลับบ้านอีกเลย

ทันทีที่ไปถึงเมืองปี่ เอตีดาเพิ่งรู้ความจริงว่าฝ่ายชายมีลูกเมียแล้ว แต่เขาสัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้งเธอจึงยอมอยู่กับเขาในฐานะเมียน้อย กู่แล้ตาได้เช่าบ้านให้เอตีดาอยู่ ระหว่างอยู่ที่นั่นหนึ่งปี กู่แล้ตา จะมาหานานๆ ครั้ง พักหลังเขาไม่ค่อยสบายและครั้งสุดท้ายที่มาหา เขาซูบผอมลงมาก

เอตีดาเปิดร้านขายของเล็กๆ ในตลาดเพื่อหาเงินค่าเช่าบ้านและค่าใช้จ่ายส่วนตัว เพราะพักหลังกู่แล้ตาไม่ได้ส่งเสียเลี้ยงดูอีกต่อไปแล้ว จนวันหนึ่งที่เอดีตาได้รู้จักกับมะแท็ด ซึ่งเป็นลูกค้าประจำของเธอ มะแท็ดมักจะชวนเอตีดาไปทำงานที่กรุงย่างกุ้งด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง โดยบอกว่าจะได้เงินทันทีเมื่อไปทำงานในวันแรก และยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายๆ อื่นเพราะกินอยู่กับเจ้าของร้าน ด้วยความอยากมีเงินซื้อเสื้อผ้าและแต่งตัวสวยๆ เธอจึงตัดสินใจไปย่างกุ้งตามคำชักชวนทันที โดยที่ยังไม่รู้ว่างานสบายที่มะแท็ดพูดถึงนั้นเป็นงานอะไร

เอตีดาคิดย้อนไปเมื่อตอนเดินทางมากรุงย่างกุ้งใหม่ๆ มะแท็ดพาเอตีดามายังร้านแห่งหนึ่งที่ชื่อ "Beauty Saloon" ตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่างกุ้ง เอตีดาได้รู้จักกับเมียะเมียะโมและละแท็ดป่าย สองสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งคู่แต่งตัวสวยงามทันสมัยจนเธออยากเลียนแบบ

"พี่คะ พี่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนที่จะเริ่มงานนะคะ" เมียะเมียะโมบอกกับเอดีตาในวันที่เธอมาทำงานวันแรก
"แล้วที่ฉันใส่มาล่ะ" เอตีดาถาม
เมียะเมียะโมตอบพลางแอบยิ้ม "มันเชยเกินไปค่ะพี่ พี่มีกระโปรงหรือกางเกงไหมล่ะคะ"
"เอ่อ...ไม่มี" เอตีดาตอบ
"ถ้าอย่างนั้นเราไปขอเบิกเงินล่วงหน้ากับเจ้านาย แล้วซื้อเสื้อผ้าใหม่ๆ มาใส่ดีกว่า"

เมียะเมียะโมพูดขึ้นแล้วก็พาเพื่อนใหม่ออกตระเวนซื้อเสื้อผ้าด้วยเพราะเอตีดาไม่เคยใส่กระโปรงสั้นๆ มาก่อน เธอจึงรู้สึกเขินอายมากตอนใส่ทำงานวันแรกๆ แต่นั่นกลับทำให้พวกแขกผู้ชายชอบอกชอบใจและถามเจ้านายของเธอว่า "เด็กใหม่รึ?"  เวลาที่มีคนถามแบบนี้เธอสังเกตเห็นว่าเจ้านายดูจะชอบใจมาก

เอตีดาได้เรียนรู้เรื่องการสระผม นวดหน้าและนวดตัวให้กับลูกค้าในวันที่มาทำงานใหม่ๆ ซึ่งไม่ยากเหมือนอย่างที่คิดเอาไว้เพราะสอนครั้งเดียวก็เป็นแล้ว ในตอนแรก เธอไม่รู้ว่าที่ร้านแห่งนี้เป็นร้านอาบอบนวด แม้เมื่อได้รู้ความจริงในภายหลังก็ถลำลึกในวงจรค้ากามแห่งนี้จนยากจะถอนตัว เสียแล้ว หลังจากที่เห็นละแท็ดป่ายและเมียะเมียะโมนอนกับแขกแล้วมีเงินใช้เป็นกอบเป็นกำ เธอจึงตัดสินใจนอนกับแขกในเวลาต่อมา แม้บางครั้งจะต้องจำใจเรียกลูกค้าที่แก่คราวพ่อว่าพี่ก็ตาม แต่ก็ต้องจำใจทำและบอกกับตัวเองว่าทำอย่างไรได้ เมื่อตัดสินใจเลือกเดินมาเส้นทางนี้แล้ว

แขกบางคนที่เอตีดาบริการเขาเป็นพิเศษก็จะตอบแทนด้วยการให้ทิปบ้าง หรือพาไปซื้อของในห้างบ้าง จนเธอไปเที่ยวกับแขกไม่ซ้ำหน้า แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ได้รู้จักกับลุงตีหะ นักธุรกิจรุ่นใหญ่ ลุงตีหะเป็นคนที่พูดตรงไปตรงมา เขาบอกเธอว่าเขามีลูกมีเมียแล้วแต่ไม่เคยมีความสุขในชีวิตครอบครัว จึงต้องมาหาความสุขนอกบ้าน ชายสูงวัยชอบเอตีดามากและมักจะสอนและแนะนำเรื่องดีๆ ให้อยู่เสมอๆ จนเธอยอมเป็นเมียน้อยในเวลาต่อมา แต่ความรู้สึกที่แท้จริงแล้ว เธอรักลุงตีหะเหมือนพ่อหรือพี่มากกว่า และเธอก็ไม่ได้เรียกร้องข้าวของเงินทองจากฝ่ายชายมากนัก

ในระยะหลังๆ เอตีดาไม่ค่อยสนใจและบริการแขกในร้านคนอื่นๆ ซักเท่าไหร่ เพราะมัวแต่ไปดูแลลุงตีหะเป็นพิเศษ เจ้าของร้านจึงไม่ค่อยชอบใจ และมักบอกให้เธอกับเมียะเมียะโมออกจากงานอยู่บ่อยครั้ง แต่ทั้งสองก็ไม่ได้สนใจคำพูดของเจ้าของร้านและไม่คิดจะออกจากงาน จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเมื่อวานนี้ ทั้งคู่ตัดสินใจไปตรวจเลือดและปัสสาวะที่คลินิกแห่งหนึ่งเพื่อตรวจดูว่าตั้งครรภ์หรือไม่ เนื่องจากประจำเดือนของทั้งสองไม่มาเป็นเวลาสองเดือนแล้ว ลุงตีหะก็ได้ตามไปหาเอตีดาที่คลินิกด้วยเช่นกัน

ทุกคนนั่งรอฟังผลตรวจเลือดอย่างใจจดใจจ่อ แต่ทันทีที่ทราบผลการตรวจเลือดนั้นกลับทำให้เอตีดาแทบล้มทั้งยืน หมอบอกว่าเธอไม่ได้ตั้งครรภ์แต่อย่างใด แต่ผลเลือดของเอตีดาและเมียะเมียะโมนั้นพบว่าติดเชื้อเอชไอวี เมียะเมียะโมวิ่งออกไปด้วยความตกใจและเสียใจ ปล่อยให้เอตีดายืนแน่นิ่ง ในขณะที่ลุงตีหะก็ขอแพทย์ตรวจเลือดและปรากฏว่าพบเชื้อเอชไอวีเช่นเดียวกัน

"เมื่อก่อนลุงเคยตรวจบ่อย แต่ไม่เคยเจอ เพิ่งมาเจอครั้งนี้เป็นครั้งแรก" ลุงตีหะพูดกับเอตีดาด้วยเสียงสั่นๆ นั่นทำให้เอตีดานึกถึงกู่แล้ตาทันที เพราะครั้งสุดท้ายเจอ เขาผอมลงมาก เอตีดาเชื่อว่าเธอน่าจะติดเชื้อเอชไอวีมาจากคนรักเก่า ความรู้สึกหนักอึ้งต่างๆ ถาโถมเข้ามาในใจทันทีหลังทราบผลการตรวจเลือด หล่อนคิดได้อย่างเดียวในตอนนี้คืออยากกระโดดน้ำตายให้รู้แล้วรู้รอด แต่ลุงตีหะได้พูดเตือนสติเอาไว้ว่า

"กลับบ้านไปหาพ่อแม่เถอะ ลุงจะให้เงินทุนหนูไปทำกิน ที่สำคัญที่สุดหนูต้องสั่งสอนและตักเตือนน้องๆ ในหมู่บ้านของหนู เพื่อที่ชีวิตของพวกเขาจะไม่ได้เหมือนพวกหนู" คำพูดของชายสูงวัยยังคงก้องอยู่ในหูของหล่อนซ้ำไปซ้ำมา

"ชีวิตของลุงในตอนนี้ก็เท่ากับเป็นศูนย์ไปแล้ว" ลุงตีหะพูดจบก็เอาเงินยัดใส่ในมือของเอตีดาแล้วเดินจากไปด้วยสีหน้าเศร้าสลด เธอเองก็ไม่รู้จะพูดอะไร นำเงินที่ลุงตีหะให้ใส่กระเป๋าแล้วเดินกลับมาที่ห้อง เธอคิดถึงภาพเหตุการณ์เมื่อวานนี้ซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งได้แต่ภาวนาในใจว่าขอให้มันเป็นแค่ความฝันเท่านั้น

"ข้าวเหนียวจ้า ข้าวเหนียวมาแล้วจ้า" เสียงแม่ค้าตะโกนขายข้าวเหนียวลั่นถนนทำให้เอตีดารู้ว่าสว่างแล้ว เธอไม่ได้นอนทั้งคืนเพราะมัวแต่คิดเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ในขณะที่เมียะเมียะโม ก็หุนหันลุกขึ้นพร้อมกับถามเธอว่า
"ตื่นแล้วหรือพี่?"
"ใช่" เอตีดาตอบไปทั้งๆ ที่จริงแล้วเธอไม่ได้นอนเลยทั้งคืน
"น้องก็นอนไม่หลับเหมือนกันพี่" เมียะเมียะโมพูดขึ้นบ้าง
"ไปล้างหน้าแปรงฟันกันเถอะ จะได้เตรียมตัวกลับบ้าน" เอตีดาตอบกลับเมียะเมียะโมด้วยสีหน้าเรียบเฉย
แสงแดดเจิดจ้าส่องไสวไปทุกหนทุกแห่งในย่างกุ้ง แต่ทว่า ในใจของเอตีดากลับรู้สึกมืดมนและโดดเดี่ยว

"พี่จะไปไหน?" คนขับรถแท็กซี่ถามเอตีดา

"ไปสถานีขนส่งอองมิงกลา" เอตีดาตอบกลับคนขับรถแท็กซี่
"สองพันจั๊ตครับพี่" คนขับรถตอบ เอตีดาตัดสินใจขึ้นรถแท็กซี่คันนั้นแบบไม่ลังเล ในขณะที่ใจของเอตีดาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เพราะสิ่งที่ต้องการมากที่สุดตอนนี้ก็คือการได้กลับไปสู่อ้อมอกพ่อและแม่ให้เร็วที่สุด

ขณะที่นั่งรถและมองไปข้างทาง เธอเห็นป้ายที่เขียนคำว่า "Beauty Saloon" แล้วสังเกตเห็นว่า คำว่า "Saloon" บางที่เขียนไว้ว่า "Salon" แต่บางที่เขียนว่า "Saloon" ซึ่งตัว "O" เกินมาตัวหนึ่ง
เอตีดาคิดในใจเล่นๆ ว่า ร้านที่เขียนคำว่า Saloon มีตัว "O" เกินมาหนึ่งตัวนั้น อาจเป็นการบอกเป็นนัยให้ลูกค้าที่ไปเที่ยวให้ได้รับรู้ว่าในนั้นมีอะไรพิเศษ เหมือนชื่อร้านที่เธอทำงานก็ใช้คำว่า "Saloon" ที่แขกจะรู้ว่าร้านแห่งนี้มีการขายบริการทางเพศให้กับลูกค้าด้วย ครั้งหนึ่งลุงตีหะเคยพูดเล่นๆ ว่าความหมายของสองคำนี้แปลว่าไฟกับ "Salon" อาจแปลว่าน้ำแต่ "Saloon" อาจแปลว่าไฟก็เป็นได้ แต่อย่างไรก็แล้วแต่ เอตีดาบอกกับตัวเองว่าจะไม่คิดอะไรอีกแล้ว เพราะถึงยังไงก็ไม่สามารถแก้ไขอดีตที่ผ่านมาได้

ถึงอย่างนั้น เอตีดาก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากถึงหมู่บ้านแล้วถูกคนในหมู่บ้านถามว่า
"นั่นเอตีดาใช่ไหม ? ไปอยู่ไหนมา? ไปอยู่เมืองกรุงแล้วเห็นอะไรมาบ้าง เจออะไรมาบ้าง?"


เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะตอบยังไงเหมือนกัน.

 

เขียนโดยหม่องอิน (อุกก่าน)  จากนิตยสาร ฉ่วยอะมิ้วเต่   แปลโดย Numripan

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น