วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

เรื่องสั้น ปู่ของจมา

ตอนเป็นเด็ก เขาเคยมีชื่อภาษาพม่า แต่เพื่อนๆ มักเรียกเขาว่า “จมา” ซึ่งเป็นภาษาฮินดู  จึงไม่ค่อยมีใครจำชื่อพม่าของเขาได้  จมา นีทุต และกานเต็งเป็นเพื่อนสนิทที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่ป. 2  พ่อแม่ของจมามีอาชีพเลี้ยงเป็ด ครอบครัวของเขานับถือศาสนาอิสลาม เช่นเดียวกับคนส่วนมากในหมู่บ้านที่นับถือศาสนาอิสลาม ครอบครัวของจมามีเชื้อสายอินเดีย เขาจึงมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับชาวอินเดียอยู่มาก ว่ากันว่า คนในหมู่บ้านของจมาส่วนใหญ่เป็นลูกหลานที่สืบเชื้อสายมาจากเจ้าหน้าที่ในพระราชวังกษัตริย์พม่าสมัยก่อน
แม้ชาวบ้านส่วนมากจะประกอบอาชีพชาวประมงและทำเกษตรบนเกาะ แต่ก็ยังมีชาวบ้านบางส่วนที่ประกอบอาชีพเลี้ยงเป็ดเหมือนพ่อแม่ของจมา  เขาจำได้ดีว่า เมื่อก่อนพ่อกับแม่ต้องลงแรงขุดบ่อน้ำต่องตะหม่านอินจี ตอนนั้นครอบครัวของเขาเลี้ยงเป็ดเป็นพันตัวเลยทีเดียว

ในช่วงปลายฝน น้ำในบ่อเริ่มลดลง พ่อกับปู่จะพายเรือคนละลำช่วยกันเลี้ยงเป็ด พอน้ำลดจนดินผุดก็จะสร้างกระท่อมชั่วคราวบนดินที่ผุดขึ้นมานั้น และพักอยู่ในกระท่อมเพื่อเลี้ยงเป็ดตั้งแต่ฤดูร้อนถึงปลายฤดูหนาว เมื่อเข้าฤดูฝนและน้ำในบ่อเริ่มสูงขึ้น พ่อกับปู่ก็จะกลับมาอยู่ในหมู่บ้านเหมือนเดิม

จมามักเล่าเรื่องความสามารถของปู่ให้นีทุตและเพื่อนๆ ฟังเสมอ แต่เรื่องที่เพื่อนๆ ฟังแล้วไม่เคยเบื่อ คือเรื่องการต่อสู้ของปู่สมัยที่ญี่ปุ่นปกครองประเทศพม่า  นีทุตมักจะเริ่มถามจมาว่า “จมา เล่าให้ฟังหน่อยสิ ปู่ของเธอสู้กับทหารญี่ปุ่นแล้วชนะได้อย่างไง” จมาเองก็ยินดีเล่าเรื่องของปู่อย่างเต็มใจทุกครั้งเมื่อมีคนถาม อย่างเช่นเรื่องนี้

“ที่ตลาดใหญ่ของตอง มโยะ (เมืองอัมระปุระ) ทหารญี่ปุ่นสี่คนเมาเหล้าและกำลังฉุดกระชากผู้หญิงคนหนึ่ง ปู่ของฉันเห็นเข้าจึงหยิบไม้หน้าสามมาจากพ่อค้า ตีหัวทหารญี่ปุ่นกระเจิดกระเจิง หลังจากเกิดเหตุการณ์วันนั้นทหารญี่ปุ่นก็มาจับปู่ของฉัน แต่ปู่ก็สามารถหลบหนีไปอยู่ที่หมู่บ้านอื่นรอดไปได้”

หลังจากจมาเล่าเรื่องของปู่จบ กานเต็งก็บอกกับเพื่อนๆ ว่า
“ฉันคิดว่า จมาคงพูดเกินจริงแน่ๆ เลย เป็นไปไม่ได้ที่คนสี่คนจะสู้กับคนคนเดยงไม่ได้ ถ้าเป็นสองคนยังพอไหว นี่ทหารญี่ปุ่นมีตั้งสี่คนคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ปู่ของจมาจะเอาชนะได้” ถึงจะยังความคลางแคลงใจอยู่บ้าง แต่นีทุตกับกานเต็งและเพื่อน ๆ ก็นับถือปู่ของจมาที่กล้าสู้กับคนต่างชาติอย่างทหารญี่ปุ่นเหมือนเช่นเคย

ทันใดนั้น จมาพูดขึ้นว่า “ในสมัยที่พม่าต่อต้านทหารญี่ปุ่น ปู่ของฉันเป็นทหารในหน่วยคอมมานโดของพม่าด้วยนะจะบอกให้” จมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังพร้อมแววตาที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ และเล่าต่อไปว่า “ปู่ของฉันยิงปืนก็เก่ง ปู่เล่าว่าครั้งหนึ่ง ไม่ไกลจากหมู่บ้านที่ปู่อยู่เท่าไหร่นัก ปู่เจอทหารญี่ปุ่นโดยบังเอิญ ปู่ของฉันซุ่มยิงทหารญี่ปุ่นที่เดินนำหน้าอยู่สามคนกระเจิง ส่วนทหารญี่ปุ่นที่ตามหลังมาต่างตกใจหนีกันอลหม่านและแปลกใจว่าใครเป็นคนยิงพวกเขา  ปู่วิ่งหนีไปและรีบส่งข่าวให้กองทัพพม่ารู้ หลังจากนั้นไม่นาน กองทัพส่งกำลังทหารมาเสริม ทหารพม่าไล่ยิงทหารญี่ปุ่นกลุ่มนั้นจนชนะเลยหละ” กานเต็งแอบคิดในใจว่าจมาคงขี้โม้เหมือนเดิม

นีทุต กานเต็งและจมาก็ยังคงเป็นเพื่อนที่สนิทกันเสมอมา  และเติบโตมาพร้อมๆ กัน จนกระทั่งทั้งสามเรียนถึงชั้น ม .2  วันหนึ่งระหว่างปิดภาคเรียน นีทุตมาเที่ยวที่บ้านของจมา จมาพานีทุตไปที่กระท่อมของพ่อแม่ที่บ่อน้ำต่องตะหม่าน นีทุตได้พบกับปู่ของจมาที่เขาอยากเห็นมานาน ปู่เลี้ยงเป็ดมากมายเหมือนที่จมาเคยเล่าให้ฟัง ปู่ของจมาเป็นคนตัวสูง ถึงจะแก่แล้วแต่ก็ยังดูแข็งแรงดี  นีทุตแอบคิดในใจลึกๆ ว่า จะถามปู่ทุก ๆ เรื่องที่เขาอยากรู้ ปู่ของจมาท่าทางใจดีและเป็นคนเรียบง่าย เวลาที่นีทุตถามปู่ ปู่ก็มักจะตอบคำถามสั้น ๆ แบบถามคำตอบคำคำเท่านั้น  สักพักหนึ่ง ปู่พายเรือออกไปไล่ต้อนเป็ด แต่ความเคลือบแคลงความสงสัยต่างๆ ที่นีทุตอยากรู้เกี่ยวกับปู่ของจมาและเรื่องราวเกี่ยวกับทหารญี่ปุ่นก็ยังคงไม่หมดไป  นีทุตจึงตัดสินใจไปถามพ่อของจมา  พ่อของจมาเล่าว่า สมัยที่ญี่ปุ่นปกครองประเทศพม่า พ่อของจมายังเด็กอยู่มาก แต่ก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้นีทุตฟังเท่าที่รู้ ตกเย็นถึงเวลากลับบ้าน พ่อแม่ของจมาเก็บไข่เป็ดให้นีทุตเอาไปฝากที่บ้านด้วย

แม้ต่อมากลุ่มเพื่อนของจมาทุกคนจะสอบผ่านชั้น ม.2  แต่จมากลับต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน เพราะต้องช่วยพ่อกับแม่เลี้ยงเป็ด

วันหนึ่งนีทุตและกานเต็งไปดื่มน้ำชาที่ร้านแห่งหนึ่ง และได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่ข้างๆโต๊ะกลุ่มหนึ่งกำลังคุยกันถึงเรื่องเกี่ยวกับสมัยที่ญี่ปุ่นยึดครองประเทศพม่า นีทุตอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาจึงเข้าไปถามผู้เฒ่ากลุ่มนั้นว่า
“ไม่ทราบว่า รู้จากอูบะกู่(ปู่ของจมา)ที่เค้าลือกันว่าเป็นนักรบที่เก่งที่สุดสมัยญี่ปุ่นเข้ายึดพม่าไหมครับ เขาสู้กับทหารญี่ปุ่นแล้วชนะทุกครั้งจริงหรือเปล่าครับ”
ผู้เฒ่ากลุ่มนั่นก็ตอบพร้อมกันว่า
“ใช่แล้ว”
ผู้เฒ่าคนหนึ่งก็ถามกลับมาว่า “โรงเรียนที่พวกเธอเรียนอยู่น่ะ มีนักเรียนที่เล่นบอลเก่งๆ คนหนึ่ง ชื่ออะไรนะ”
“ เขาชื่อจมาครับ” นีทุตตอบ
“ เออ คนนั้นเป็นหลานของอูบะกู่ใช่ไหม” ผู้เฒ่าคนนั้นก็พูดต่อว่า “สมัยญี่ปุ่น พวกทหารญี่ปุ่นอยากจับตัวอูบะกู่ แต่อูบะกู่ไม่ยอม พวกทหารญี่ปุ่นก็จับเขาไม่ได้ซักที เขายิงปืนเก่งมากจึงมีชื่อเสียงจนถึงทุกวันนี้”


เมื่อนีทุตได้ฟังอย่างนั้น จึงไม่สงสัยอะไรในตัวปู่อีกแล้ว และเรื่องทั้งหมดที่จมาเคยเล่าให้เขาฟังก็เป็นเรื่องจริงทั้งหมด นีทุตบอกกับตัวเองว่า  ถึงอย่างไร ปู่ของจมาก็เป็นนักรบผู้กล้าในนิทานของนีทุตตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว นีทุตหันกลับมาถามกานแต็งว่า

“เป็นไงล่ะ เชื่อละยัง” กานเต็งตอบกลับมาทันควันว่า
“ฉันเชื่อแล้ว  ผู้ใหญ่เขาพูดขนาดนี้แล้วไม่เชื่อได้อย่างไง”

.....................................................



เวลาผ่านไปหลายปีจนนีทุตได้เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย เขาไม่ค่อยได้เจอกับจมาบ่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน  จะได้เจอกันบ้างก็ตอนที่จมามาส่งไข่ในตลาด  แต่เมื่อทั้งสามคนพอมีเวลาก็ยังคงนัดกันไปดื่มน้ำชาอยู่บ้างนานๆ ครั้ง


ส่วนนีทุตและกานเต็งไปดื่มน้ำชาด้วยกันอยู่บ่อยๆ อย่างวันนี้ กานเต็งถามนีทุตว่า
“ช่วงนี้ไม่เห็นจมานานแล้ว นายได้เจอเขาบ้างไหม” นีทุตตอบว่า
“ฉันก็ไม่เจอจมามาห้าหกเดือนแล้วเหมือนกัน”

ทั้งนีทุตและกานเต็งต่างเงียบกริบ ทั้งสองนั่งจิบชาในร้านต่อไปอีกสักพัก และตั้งใจว่าจะแยกย้ายกันกลับบ้าน ขณะที่ทั้งสองกำลังจะลุกขึ้นจากเก้าอี้  ทันใดนั้นจมาก็เดินเข้ามาพอดี นีทุตกับกานเต็งจึงนั่งลงที่เดิม เพราะอยากจะคุยกับจมามาก หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาหลายเดือน

แต่ดูวันนี้สีหน้าของจมาดูไม่ค่อยสดชื่นเท่าใดนักเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ จมายกแก้วน้ำชายกขึ้นมาจิบซักพักและเล่าเรื่องที่เขาไม่สบายใจให้นีทุตและกานเต็งฟังว่า

“หลายวันก่อน ฉันพาปู่ไปผ่าตัดตาที่ย่างกุ้ง แต่ปู่ของฉันไม่มีบัตรประชาชน ก่อนที่จะไปย่างกุ้ง เราจึงไปทำบัตรประชาชนที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แต่เจ้าหน้าที่ว่า ยังทำบัตรประชาชนให้ปู่ตอนนี้ไม่ได้ ต้องรออีกหน่อย เจ้าหน้าที่ก็เลยออกใบรับรองการเดินทางให้ปู่แทน หลังจากนั้นเราจึงเดินทางไปย่างกุ้ง แต่ระหว่างที่เราอยู่บนรถไฟก็เกิดเรื่องขึ้น ทำให้ปู่ของฉันไม่สบายใจมาจนถึงตอนนี้” จมาเงียบไปครู่หนึ่ง พลันสายตามองไปที่พื้น

นีทุตจึงถามขึ้นว่า  “เป็นอะไรหรือจมา”
จมาหันมาตอบเพื่อนว่า “ระหว่างทางที่รถไฟวิ่งออกจากมัณฑะเลย์ถึงจ๊อกเส่  ตำรวจได้ขึ้นมาตรวจบัตรประชาชน ฉันเอาบัตรประชาชนที่ทำไว้เมื่อตอน ม.2 ให้ตำรวจดู  ตำรวจบอกว่าปู่ของฉันไม่ควรจะเดินทางด้วยใบรับรองที่ทาง ต.ม. ออกให้ เขาถามพวกเราว่าพูดภาษาพม่าได้หรือเปล่า”

จมาเล่าต่อไปพลันมองตาเพื่อนทั้งสอง ในขณะที่นีทุตและกานเต็งตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“นายสองคนก็รู้ว่าหมู่บ้านเราพูดแต่ภาษาพม่ามาสามร้อยกว่าปีแล้วมั้ง เวลานี้คนอายุรุ่นเดียวกับปู่ของฉันก็คงพูดภาษาอินเดียกันไม่ได้แล้ว พวกตำรวจรังแกเรา ด่าว่าเราเป็นพวกแขก เป็นคนขี้โกง แล้วตำรวจก็ยังหาว่าฉันและปู่ไม่มีสัญชาติพม่า และหาว่าใบรับรองของปู่เป็นของปลอม ปู่ของฉันก็อธิบายให้เขาฟังแล้วว่าพวกเราเป็นมุสลิมจากพม่า ไม่ใช่มุสลิมที่เพิ่งเข้ามาใหม่ พวกนายลองคิดดูสิ เราพูดก็ภาษาเดียวกับพวกนาย คนที่เพิ่งเข้ามาจะพูดภาษาพม่าเป็นได้ยังไง ถึงพูดภาษาพม่าได้ก็คงไม่ชัดขนาดนี้”

จมาหยุดพูดสักพักแล้วหยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบ เขานิ่งเงียบ สายตาทอดออกไปข้างนอก พร้อมกับพ่นควันบุหรี่ออกมาเป็นโขมง ๆ เช่นเดียวกับนีทุตและกานเต็งต่างนิ่งเงียบและมองตากัน จนจมาเล่าต่อว่า

“ตำรวจพูดว่าในประเทศนี้ไม่มีมุสลิม ถ้าพม่าก็ต้องมีแต่ศาสนาพุทธ แขกก็คือแขก ไม่มีมุสลิมพม่า เขาหาว่าพวกเราตั้งขึ้นมาเอง และตำรวจยังบอกว่า ถ้าพวกเราต้องการจะอยู่ในประเทศนี้ต้องทำตัวดีๆ สุดท้ายพวกตำรวจก็เรียกฉันไปที่สถานีรถไฟและขอเงินฉัน ฉันให้เงินพวกเขาไปหนึ่งพันห้าร้อยจั๊ต” จมาหันมามองเพื่อนทั้งสองและพูดขึ้นว่า “เรื่องมันก็เป็นอย่างนี้” ก่อนที่จะก้มหน้ามองพื้นอีกครั้ง

ตอนนั้นทองคำหนักหนึ่งจั๊ต (หรือหนึ่งบาทของไทย) ราคาสามพันจั๊ต  ดังนั้น เงินที่จมาให้ตำรวจไปจึงเทียบเท่ากับมูลค่าทองคำหนักห้าสิบปยา(หรือห้าสิบสตางค์)

เมื่อนีทุตและกานเต็งได้ฟังเรื่องทั้งหมดก็ไม่สบายใจตามไปด้วย แต่จมาและปู่ของเขาคงไม่สบายใจมากกว่าเป็นร้อยเท่า นีทุตและกานเต็งแอบคิดในใจว่า “ประเทศพม่าที่ดูเหมือนจะไม่แบ่งแยกศาสนาและเชื้อชาตินั้น แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นอย่างที่พวกเขาคิดเลยซักนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่มีอำนาจ ที่มักแบ่งแยกคนอื่นมากกว่าคนธรรมดาสามัญชนทั่วไป คนมีอำนาจมักคิดว่าศาสนาอิสลาม ศาสนาฮินดูและศาสนาคริสต์ไม่มีความซื่อสัตย์ต่อประเทศพม่า หรือเหมือนไม่ใช่สัญชาติพม่าร้อยเปอร์เซ็นต์”

น่าเศร้าใจที่คนกล้าสู้รบกับทหารญี่ปุ่น และเก่งในการยิงปืนที่สุด มีชื่อเสียงโด่งดังในสมัยที่ญี่ปุ่นปกครองประเทศพม่าและเป็นบุคคลที่นีทุตและกานเต็งให้ความเคารพนับถือมาโดยตลอดอย่างปู่ของจมา กลับถูกตำรวจพม่ากดขี่และแบ่งแยกเชื้อชาติ เพียงเพราะหน้าตาคล้ายชาวอินเดียและนับถือศาสนาอิสลาม หลายสิบปีที่ผ่านมาที่ปู่ของจมาได้ปกป้องประเทศชาติมาด้วยชีวิต แต่วันนี้กลับไม่มีใครรู้ว่าเขาคือใคร

“ปู่บอกว่า ต่อไปนี้ไม่ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น ปู่คงไม่อยากไปไหนอีกแล้ว ปู่จะตายในที่ที่มีคนรู้จักปู่”จมาพูดด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย แต่แววตาดูเป็นกังวล

แม้นีทุตอยากจะบอกกับปู่ของจมาว่า ยังมีคนอีกมากมายที่ไม่เคยคิดเรื่องการแบ่งแยกเชื้อชาติและศาสนาก็ตามที แต่ภายในใจของนักรบผู้กล้าอย่างปู่ของจมาในเวลานี้ คงเต็มไปด้วยบาดแผลจากการกระทำของผู้มีอำนาจที่สูงสุดในประเทศพม่า แม้เวลานานแค่ไหนบาดแผลที่ว่านี้ก็คงยากที่จะลบเลือน.

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น