วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

ปางก้ำก่อ

แสงลืน

 

รถข้ามผ่านทางลาดชันอย่างช้าๆ ฉันนั่งอยู่ในรถโดยสารหรือที่เราเรียกว่า รถดาวทอง ผู้โดยสารในรถต่างเสียงดังโหวกเหวก เด็กลีซอคนหนึ่งถึงกับร้องให้เพราะไม่คุ้นกับคนในรถ มันเป็นภาพเหตุการณ์ชินชาที่ฉันพบเห็น ทุกครั้งที่กลับบ้าน เวียงแหง คือจุดหมายปลายทางของทุกคนในรถ  แต่การเดินทางไปเวียงแหงโดยรถโดยสารนั้นอาจจะทุลักทุเล เพราะรถต้องค่อย ๆ วิ่งอย่างช้า ๆ ขึ้นดอยด้วยเส้นทางที่ไกลจากตัวเมืองถึง168 กิโลเมตร แต่ใครจะรู้ว่าด้านหลังของภูเขาสูงนั้นกลับมีผู้คนหลากหลายเผ่าพันธุ์มาตั้งรถรากอยู่ด้วยกันอย่างสงบเป็นเวลาช้านาน

ถ้าพูดถึงเวียงแหงก็คงต้องนึกถึงหมู่บ้านเปียงหลวง หมู่บ้านซึ่งติดกับชายแดนไทย-พม่า ซึ่งครั้งหนึ่งหมู่บ้านนี้เคยเป็นฐานที่มั่นของกองกำลังต่าง ๆ เช่นกองกำลัง MTA และกองกำลังจีนคณะชาติในสมัยก่อนนั้น เมื่อครั้น กองกำลัง MTA โดยมีขุนส่าเป็นผู้นำเศรษฐกิจใน บริเวณชายแดนไทย-พม่า ด้านนี้ คึกคักไม่แพ้ชายแดนที่อื่นๆ ชาวบ้านทั้งสองฝั่งจะนำสินค้ามาขายให้แก่กัน ณ บริเวณด้านบ้านหลักแต่ง ชาวบ้านต่างมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีพอสมควร ถ้าเทียบกับในสมัยปัจจุบัน เพราะสังเกตได้จากคนหนุ่มสาวในหมู่บ้านไม่เข้าไปทำงานในเมืองมากเท่าไหร่

ฉันมีโอกาสได้เรียนในโรงเรียนปางก้ำก่อซึ่งเป็นโรงเรียนสอนภาษาไทยใหญ่  โรงเรียนของฉันตั้งอยู่ในเขตกองกำลัง MTA ซึ่งในปัจจุบันคือเขตพม่านั่นเอง ทุก ๆ วันฉันจะต้องเดินจากหมู่บ้านเปียงหลวงซึ่งอยู่ในฝั่งไทยไปยังหมู่บ้านปางก้ำก่อ ซึ่งยู่ในเขตของกองกำลัง MTA เพื่อไปเรียน และทุก ๆ วัน ฉันจะเห็นภาพทหารไทยใหญ่วิ่งออกกำลังกายผ่านหน้าฉันทุก ๆ วัน การเดินทางไปโรงเรียนนั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ในตอนนั้น เพราะฉันและเพื่อนจะต้องเดินถึง 3-4 กิโลเมตรไปกลับ แต่เราก็มีความสุขที่จะได้ไปเรียน ฉันสังเกตเห็นว่าประชาชนชาวไทยใหญ่ในฝั่ง MTA ไม่ได้มีความแตกต่างกันมากกับชาวบ้านในฝั่งไทยในเรื่องการกินอยู่ แต่ในเรื่องของความสะดวกสบายนั้นชาวบ้านในฝั่งไทยอาจจะดีกว่านิดหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตามชาวบ้านทั้งสองฝั่งต่างมีความสุขดีเว้นแต่กองกำลังของพม่ามารุกรานเป็นครั้งคราว

ฉันได้เรียนที่โรงเรียนปางก้ำก่ออยู่ประมาณสองปีก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ฉันไม่มีวันลืมไปจนวันตาย ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นแรงผลักดันให้ฉันอยากจะมีส่วนช่วยเหลือคนไทยใหญ่คนอื่น ๆ ในวันนั้นตัวฉันและเพื่อนอีกสามคนไปโรงเรียนตามปกติ ซึ่งเราไม่รู้ว่าโรงเรียนสั่งปิดโรงเรียนกะทันหัน เพราะเราอยู่ฝั่งไทยในวันนั้น กองกำลังทหารพม่าได้บุกโจมตีหมู่บ้านที่อยู่ถัดจากหมู่บ้านปางก้ำก่อประมาณ 4-5 กิโลเมตรทำให้ชาวบ้านหนีตายและอพยพมาที่ชายแดนระหว่างหมู่บ้านปางก้ำก่อและหมู่บ้านหลักแต่งและหมู่บ้านเปียงหลวงเป็นจำนวนมาก ภาพโรงเรียนที่ปกติจะมีนักเรียนกำลังเรียนหนังสือหรือกำลังวิ่งเล่น แต่กลับเปลี่ยนผู้คนจำนวนมากนอนลงกับพื้นและส่งเสียงโอดครวญที่ดังอื้ออึงไปหมด ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียนต่างมีผู้คนเต็มไปหมด บ้างก็เป็นเด็กที่พลัดพรากจากพ่อแม่กำลังร้องให้ บ้างก็เป็นทหารไทยใหญ่กำลังได้รับบาดเจ็บแขนขาดขาขาดก็มี และยิ่งกว่านั้นฉันเห็นคนตายนอนรวมกับคนเป็น ฉันได้แต่ยืนขาสั่นในตอนแรกเพราะความกลัวและความสงสาร

มีป้าคนหนึ่งกวักมือเรียกฉันให้ช่วยตักน้ำให้แกดื่มหน่อย  ป้าคนนั้นบอกว่าแกหิวข้าวมาก ฉันได้แต่ตักข้าวเปล่า ๆ ให้แกกินประทังความหิว ในเหตุการณ์ตอนนั้นฉันอายุแค่ 8 ขวบ และนับจากวันนั้นฉันไม่ได้มีโอกาสกลับไปที่นั่นอีก อีกทั้งโรงเรียนก็ไม่สามารถทำการเรียนการสอนได้อีกที่โรงเรียน ซึ่งต่อมาทางโรงเรียนได้ย้ายมาตั้งที่วัดฟ้าเวียงอินทร์  ฉันยังกลับมาเรียนต่อแต่ไม่นานนักก็ต้องย้ายโรงเรียน แม่ย้ายฉันมาเรียนที่โรงเรียนไทยหรือโรงเรียนบ้านเปียงหลวง และนับจากนั้นไม่นานฉันได้ยินว่าด่านปิด เพราะขุนส่าได้วางอาวุธให้กับพม่าแล้ว ฉันได้แต่คิดและเสียใจเพราะฉันคงไม่มีโอกาสได้เจอเพื่อนและไม่มีโอกาสที่จะเห็นชาวบ้านและทหารไทยใหญ่กำลังออกกำลังกายอีกแล้ว

นับตั้งแต่ด่านปิดและนับตั้งแต่ขุนส่าวางอาวุธ เศรษฐกิจในบริเวณนี้ก็ซบเซาลงเรื่อย ๆ ชาวบ้านที่เคยค้าขายตามด่านก็ต้องเปลี่ยนอาชีพ คนหนุ่มสาวทั้งฝั่งโน้นและฝั่งไทยก็ไม่สามารถประกอบอาชีพอะไรในหมู่บ้านจึงต้องเดินทางเข้าเมืองเพื่อหาเงิน คนไทยใหญ่ที่เคยคาดหวังในกองกำลัง MTA ว่าจะสามารถขอเอกราชจากพม่าได้ก็ต้องผิดหวังไปตาม ๆ กัน ทุก ๆ ครั้งที่ฉันกลับไปเปียงหลวงฉันก็ยังคิดถึงโรงเรียนและอยากกลับไปเยี่ยมที่นั่นอีกครั้ง แต่ก็คงไม่มีโอกาส ฉันยังอยากให้ด่านเปิดอีกครั้งเพื่อให้ชาวบ้านมีงานที่จะทำ เพราะทุกวันนี้ที่    เปียงหลวงเหลือแต่คนแก่กับเด็ก ๆ ที่รอคอยการกลับมาของคนที่ไปทำงานในเมือง ฉันได้แต่คิด ถ้าขุนส่าไม่วางอาวุธเหตุการณ์ทุกอย่างมันจะดำเนินไปอย่างไร และชีวิตของฉันจะเป็นอย่างไร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น