คุณคงไม่อยากมีชีวิตอยู่ภายใต้การนำของผู้นำเผด็จการอย่าง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ แห่งเยอรมนี ซัดดัม ฮุดเซน แห่งอิรัก นายพอล พต แห่งเขมร หรือแม้กระทั่งนายพลอีดี้ อามิน ดาดา แห่งอุกานดา เพราะนอกจากคุณจะไม่มีสิทธิเสรีในการดำเนินชีวิตในทุกรูปแบบแล้ว คุณอาจมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวและหวาดระแวงตลอดเวลาและมีชีวิตอย่างไม่มีความสุข

หนังเปิดเรื่องด้วยหมอหนุ่มชื่อ นิโคลัส การ์ริแกน (James McAvoy) หมอหนุ่มไฟแรงชาวสก็อตที่เพิ่งเรียนจบดอกเตอร์หมาดๆ การ์ริแกนเติบโตมาในครอบครัวตระกูลหมอ พ่อของเขามักจะคาดหวังให้การ์ริแกนเป็นเหมือนตัวเอง ซึ่งสร้างความอึดอัดให้เขาอยู่ลึกๆ นั่นจึงเป็นเหตุผลให้หมอที่จบใหม่อย่างการ์ริแกนออกผจญภัยในโลกกว้างด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์ และท้ายที่สุดเขาเดินทางไปเป็นหมอในเขตพื้นที่ชนบทของประเทศอูกานดา โดยใช้วิธีปิดตาสุ่มจิ้มจากแผนที่ลูกโลก ช่วงเวลาที่การ์ริแกนเดินทางไปอูกานดาเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ นายพลอินดี้ อามิน ยึดอำนาจจากรัฐบาลเก่าและแต่งตั้งตัวเองเป็นผู้นำคนใหม่ของประเทศอูกานดา
แต่แล้วเหตุบังเอิญที่ทำให้ทั้งสองมาเจอกันก็เกิดขึ้น เมื่อรถของนายพลอีดี้ อามินชนเข้ากับวัวตัวหนึ่งหลังกลับจากพบปะกับชาวบ้านในพื้นที่ที่หมอการ์ริแกนทำงานอยู่ ซึ่งทำให้นายพลอีดี้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย และหมอการ์ริแกนได้ถูกเรียกตัวไปรักษาให้นายพลอีดี้ทันที แต่ในระหว่างที่เขาพันแผลให้นายพลอีดี้ อามิน วัวที่ถูกชนได้ร้องเสียงดังอยู่ตลอดเวลาซึ่งรบกวนสมาธิเขา จึงทำให้หมอการ์ริแกนตัดสินใจฆ่าวัวตัวนั้นทิ้งซะ ซึ่งทำให้นายพลอีดี้ อามิน รู้สึกชื่นชอบในตัวหมอการ์ริแกนขึ้นมาทันทีเพราะความใจกล้าและเด็ดขาดของเขา และนายพลอีดี้กลับยิ่งชอบเขามากขึ้นเมื่อรู้ว่าเขาเป็นชาวสก็อต การ์ริแกนได้ถูกชักชวนให้ไปเป็นหมอประจำตัวของนายพลอีดี้ทันทีหลังจากเหตุการณ์วันนั้นไม่นาน ซึ่งเขาเองก็รับปากตกลง โดยที่ไม่รู้เลยว่า เขากำลังพาตัวเองเข้าสู่วังวนแห่งความชั่วร้ายของผู้นำเผด็จการ
แม้ในตอนแรกๆ ดูเหมือนว่าประชาชนในอูกานดาจะยินดีและมีความหวังที่ได้ผู้นำคนใหม่อย่างนายพลอีดี้ อามิน พร้อมกับคำพูดที่ชวนให้ประชาชนลุ่มหลงของเขาตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “ผมจะสร้างโรงเรียนแห่งใหม่ ตัดถนนใหม่และสร้างบ้านใหม่ให้พวกคุณ แม้ผมจะสวมเครื่องแบบนายพล แต่ในใจของผมเป็นคนธรรมดา ลองถามทหารของผมดูแล้วจะรู้ว่า ผมไม่เคยกินอาหารก่อนที่พวกทหารของผมจะได้กิน ผมจะทำให้ประเทศอุกานดาของเราดีขึ้น และแข็งแกร่งขึ้น” เช่นเดียวกับหมอการ์ริแกนที่รู้สึกชื่นชอบและมองนายพลอีดี้ อามินเป็นฮีโร่ในดวงใจของเขาเช่นเดียวกัน โดยไม่สนใจแม้ใครจะเตือนเขา ขณะเดียวกันหมอการ์ริแกนเริ่มหลงระเริงไปกับอำนาจ ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียงที่นายพลอีดี้หยิบยื่นมาให้จนทำให้เขาลืมอุดมการณ์ของตัวเองไปชั่วขณะ
ไม่ต่างจากนายพลอีดี้ อามินเองที่ชื่นชอบการ์ริแกนมากจนถึงขั้นแต่งตั้งให้เขาเป็นที่ปรึกษาคนสนิท หลังหมอการ์ริแกนช่วยให้เขารอดจากการถูกสังหารจากกลุ่มที่สนับสนับประธานบดีคนเก่า อย่างไรก็ตาม แม้นายพลอีดี้ อามินจะแสดงความเข้มแข็งและไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดต่อหน้าคนอื่นๆ แต่ผู้นำคนนี้กลับเผยถึงความขลาดกลัวคนอื่นจะหมายปองชีวิตตนและแสดงความอ่อนแอต่อหน้าหมอการ์ริแกนหลายครั้ง ซึ่งทำให้หมอการ์ริแกนเห็นใจและสงสารนายพลอีดี้ อามินมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาชาวอูกันดาต่างเป็นทุกข์และผิดหวังกับพฤติกรรมของกองทัพและรัฐบาลของนายพลอีดี้ อามิน ที่เข่นฆ่าประชาชนของตัวเองที่ไม่เห็นด้วยกับเขาอย่างลับๆ ด้านหมอการ์ริแกนเองกลับไม่ได้ให้ความสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวเขา ในทางกลับกันเขากลับปกป้องนายพลอีดี้ อามินและกล่าวหาคนที่ตักเตือนเขาว่าแต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อโกหกเขา แต่จุดที่พลิกผันได้เกิดขึ้น เมื่อหมอหนุ่มการ์ริแกนได้เล่าเรื่องรัฐมนตรีคนหนึ่งที่นัดพบกับชาวต่างชาติให้นายพลอีดี้ฟัง ซึ่งในวันต่อมารัฐมนตรีคนนั้นได้หายตัวไป และการ์ริแกนมารู้ความจริงว่า เขาถูกนายพลอีดี้ อามินสังหารเนื่องจากรัฐมนตรีคนนั้นพยายามล้มล้างนายพลอีดี้ อามิน ซึ่งทำให้หมอการ์ริแกนตาสว่างและตัดสินใจที่จะกลับสก็อตแลนด์ แต่เขาก็ต้องผิดหวังเนื่องจากพาสปอร์ตของเขาถูกนายพลอี้ดี้ อามินยึดไปและเปลี่ยนสถานะให้เขาเป็นพลเมืองของประเทศอูกานดา การ์ริแกนจึงไปขอความช่วยเหลือจากสถานทูตอังกฤษทันที แต่สถานทูตอังกฤษกลับมีข้อแลกเปลี่ยนให้เขาหาทางฆ่านายพลอีดี้ อามิน
เรื่องราววุ่นๆยังไม่จบแค่นั้น เพราะในขณะเดียวกันหมอการ์ริแกนแอบไปตกหลุมรักกับหญิงสาวที่ชื่อ เค (Kerry Washington) ซึ่งเป็นเมียคนที่สามของนายพลอีดี้ อามิน จนในที่สุดทั้งสองแอบลอบมีความสัมพันธ์กันจนเคตั้งท้อง ความกลัวและความหนักอึ้งต่างๆจึงมาตกอยู่ที่หมอการ์ริแกนและเค ความอำมหิตของนายพลอีดี้ อามิน ยิ่งตอกย้ำให้หมอการ์ริแกนหวาดกลัวมากขึ้น เมื่อเขาพบว่า เคได้ถูกทหารของนายพลอีดี้ฆ่าและอวัยวะของเธอถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ เนื่องจากเธอถูกจับได้ว่าแอบไปทำแท้งกับหมอพื้นบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง หนังดำเนินมาถึงในช่วงระทึกใจ เพราะแผนลอบฆ่านายพลอีดี้ อามินของหมอการ์ริแกนเกิดแตก และนายพลอีดี้ อามินยังจับได้ว่าหมอการ์ริแกนเป็นชู้กับเมียของเขา หมอการ์ริแกนถูกจับและถูกร้ายร่างกายปางตาย
แต่เหมือนโชคเข้าข้างเขา เพราะในเวลาเดียวกันได้เกิดเหตุการณ์กลุ่มปาเลสไตน์จี้เครื่องบินของสายการบินฝรั่งเศสที่มีผู้โดยสารชาวอิสราเอลรวมอยู่ด้วยมาลงที่อูกันดา และหมอการ์ริแกนเองได้รับการช่วยเหลือจากหมอชาวอูกันดาคนหนึ่ง ซึ่งปลอมตัวให้การ์ริแกนเป็นตัวประกันชาวต่างชาติเดินทางออกจากอูกันดาได้สำเร็จพร้อมๆกับตัวประกันคนอื่นๆ ซึ่งภาพฉากสุดท้ายที่หมอการ์ริแกนเดินทางออกจากอูกันดาได้สำเร็จถึงกับทำให้เขาร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจปนเสียใจกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา และในใจของเขาลึกๆก็อดคิดถึงชะตากรรมของชาวอูกันดาที่ยังอยู่ข้างหลังไม่ได้ ด้านนายพลอีดี้ อามินยังคงใช้ความเผด็จการของตัวเองกดขี่ข่มเหงประชาชนชาวอูกันดาเรื่อยมา แต่แล้วก็ถูกโค่นล้มอำนาจลงในปี ค.ศ.1979 แม้หนังจะไม่ได้ถ่ายทอดรายละเอียดทั้งหมดภายหลังนายพลอีดี้หมดอำนาจแล้วก็ตาม แต่เป็นที่ทราบกันดีว่า นายพลอีดี้ไม่อาจสามารถอยู่ในแผ่นดินเกิดของตัวเองหลังหมดอำนาจ แต่ต้องลี้ภัยไปอยู่ในลิเบีย อิรักและซาอุดีอาระเบีย จนท้ายที่สุดจบชีวิตลงอย่างทรมานด้วยโรคความดันโลหิตสูงในปี 2546ที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย
ในเรื่องนี้ การปะทะเชือดเฉือนคารมกันระหว่างนักแสดงคุณภาพอย่าง James McAvoy และ Forest Whitaker คงทำให้ผู้ชมอินไปด้วย อย่างไรก็ตามคงต้องยกนิ้วให้กับผู้ที่เขียนบทและผู้กำกับที่สามารถนำเอาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง แม้จะไม่ได้เกิดในช่วงเวลาเดียวกันแต่สามารถนำมาลำดับเรื่องราวได้อย่างลงตัว ไม่ทำให้ผู้ชมสับสน เช่นเดียวกับที่สร้างตัวละครอย่างหมอการ์ริแกนขึ้นมาเพื่อเดินเรื่องและเชื่อมเอาเหตุการณ์ต่างๆเข้าไว้ด้วยกัน อย่างไรก็ตามแม้เนื้อหาในหนัง The last king of Scotland จะเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนในอูกันดาโดยตรง แต่ในหนังกลับไม่ได้เสนอภาพฉากประเด็นนั้นอย่างโจ่งแจ้งมากนัก แต่จะสื่อออกมาผ่านการเล่าของตัวละครมากกว่า อย่างไรก็ตามภาพ แสง สี เสียงและดนตรีประกอบเป็นไปในกลิ่นอายของแอฟริกันไม่ทำให้ผู้ชมผิดหวังอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นหนังดีอีกเรื่องหนึ่งที่คอหนังไม่ควรพลาด
แต่เมื่อดูหนังเรื่องนี้จบก็อดคิดถึงผู้นำเผด็จการอย่างนายพลอาวุโสตานฉ่วย นายพลอาวุโสหม่องเอแห่งพม่าไม่ได้ เพราะลักษณะนิสัยความบ้าอำนาจและความอำมหิตฆ่าสังหารประชาชนที่ไม่เห็นด้วยของทั้งนายพลอีดี้ อามินและนายพลอาวุโสตานฉ่วยก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก จะแตกต่างกันก็แค่ตรงที่นายพลอีดี้ อามินบ้า สก็อตแลนด์ แต่นายพลอาวุโสตานฉ่วยและพวกบ้าไสยศาสตร์ ขณะที่การอยู่อย่างแร้นแค้นและขาดสิทธิเสรีภาพและถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนของประชาชนในพม่าจากการกระทำของรัฐบาลพม่ายังคงดำเนินต่อไป ตราบที่รัฐบาลพม่ายังมีอำนาจอยู่ในมือ แม้กระนั้นก็ตาม ชาวพม่าตาดำ ๆ ก็ยังแอบหวังว่าซักวันหนึ่งผู้นำเผด็จการอย่างตานฉ่วยและพวกจะถูกนำตัวขึ้นศาลโลกและถูกลงโทษให้สาสมกับที่เคยทำไว้กับประชาชน.
{เผยแพร่ครั้งแแรกในนิตยสารสาละวินโพสต์ฉบับที่ 52 (มี.ค. - เม.ย 52)}
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น