วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

วิศวกรพลัดถิ่น

ผมรู้จักตูอ่อง(ชื่อสมมุติ) เพราะเขาทำงานในองค์กรแห่งหนึ่งในมาเลเซียเราเคยเจอกันหลายครั้ง ที่ผ่านมาผมได้แต่แกล้งพูดหยอกเขาบ่อยๆ ว่า “เฮลโล...ฮาวอายูสสสส...กู้ดบายส์ เทคแคร์สสส” แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้นั่งคุยกับเขาจริงๆ จังๆ และขอให้เขาเล่าเรื่องราวชีวิตให้ผมฟัง

ตูอ่องเป็นคนพูดจานุ่มนวล ร่างเล็ก ใส่แว่นตาที่ไม่มีขอบ มันทำให้ผมรู้สึกว่า เขาเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่าย แต่ถ้าเมื่อไหร่ได้มองตาเขาใกล้ๆ แล้วล่ะก็ คุณจะเห็นความ มุ่งมั่นดุดันซ่อนอยู่ภายใน

ความมุ่งมั่นของเขาคือ การปกป้องชุมชนชาวคะฉิ่นในมาเลเซีย ซึ่งเขาและองค์กร ที่เขาทำงานอยู่กำลังพยายามทำอยู่ เขาให้ผมดูรูปภาพของหญิงชาวคะฉิ่นที่ถูกนายจ้างพยายามข่มขืน ซึ่งในขณะนั้นเธอตั้งครรภ์ได้สามเดือน เราสองคนหัวเราะออกมา แบบขัดๆ ผมคิดว่าที่หัวเราะออกไปนั้นก็เพราะผมกำลังพยายามไม่ให้มีความรู้สึกกับสิ่งที่ได้ฟังมากจนเกินไป

ตูอ่องเป็นผู้นำชุมชนในมาเลเซีย นอกเหนือจากนี้แล้ว ผมก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ ตัวเขาเลย จึงแปลกใจมากเมื่อเขาบอกว่าเรียนจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมไฟฟ้า วิชาเอก สายการผลิตและการควบคุมระบบคลื่นไฟฟ้าไมโครเวฟ

เวลาที่พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับวิศวกรรมเขาดูมีความสุขมาก เขาเล่าถึงช่วงที่เรียนและ ทำงานเป็นวิศวกรในย่างกุ้ง เล่าเรื่องกลไกต่างๆ ในการควบคุมวงจรเครื่องจักร ซึ่งเขา บอกว่า ต้องซ่อมแผงวงจรบ่อยๆ แทนที่จะเปลี่ยนอันใหม่เพราะไม่มีเงินทุน เขายังเล่าไปถึงตอนที่ออกแบบแผงวงจรไฟจราจรที่สนามบินด้วย ทุกครั้งที่เขาพูดถึงเรื่องกระแส ไฟฟ้าและการควบคุมอย่างเมามัน มันเหมือนกับว่าในขณะนั้นเขากำลังย้อนกลับไป ในอดีตอีกครั้ง ถึงแม้ผมจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยในสิ่งที่เขาพูด แต่ก็พอรู้ว่าเขารักมันมาก แค่ไหน

“แล้วทำไมคุณถึงหนีมาที่มาเลเซียหละ ทำไมถึงทิ้งทุกอย่าง?”
“ตำรวจพม่าจับเพื่อนผมไป หลังจากการประชุมของกลุ่มเยาวชนในเช้าวันอาทิตย์ พวกเรากำลังจะกลับไปที่แฟลตของเราที่อยู่ชั้นห้า แต่ผมแวะโทรศัพท์หาแม่ที่ ชั้นล่าง คุณเห็นไหม...มันยากมากที่จะมีโทรศัพท์ของตัวเองในย่างกุ้ง เราถึงต้องใช้ โทรศัพท์สาธารณะ”
“ผมเห็นเพื่อนสองคนถูกตำรวจจับ เป็นตำรวจในเครื่องแบบสองคนกับตำรวจ นอกเครื่องแบบอีกสามคน”

ตูอ่องรีบหนีไปที่โบสถ์แต่คนที่นั่นบอกให้เขากลับไป เขาจึงไปรอเพื่อนๆ ที่บ้าน เพื่อนซึ่งอยู่อีกฝั่งของแม่น้ำ เขารอเพื่อนอยู่สองวันแต่เพื่อนของเขาก็ไม่กลับมา โดยที่ ตูอ่องไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา

“จนถึงตอนนี้น่ะเหรอ” ผมถาม
“จนถึงตอนนี้” เขาตอบ

นี่คือสิ่งที่ทำให้ตูอ่องต้องตัดสินใจหนี ในตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะหลบหนีไปอยู่ในประเทศไทยซักพักแล้วค่อยกลับบ้าน แต่เมื่อเขาเดินทางมาถึงชายแดนแม่สอดคนที่พาเขามาบอกว่าสถานการณ์ในประเทศไทยไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ไปมาเลเซียจะปลอดภัย กว่า

ตูอ่องตัดสินใจอีกครั้งมุ่งหน้าไปยังมาเลเซีย เช้าวันหนึ่งของเดือนกันยายน เวลา ตีสี่ รถยนต์พาเขามาถึงที่หมายและได้แนะนำให้เขารู้จักกับคนในกัวลาลัมเปอร์ ในคืนแรก สถานที่ที่เขาอาศัยหลับนอนนั้นค่อนข้างแออัดยัดเยียด แต่เวลานั้นคงไม่มีที่ไหนปลอดภัยไปว่านี้อีกแล้ว.

(แปลจาก งานเขียนของ Aris ชายชาวมาเลเซียที่ทำงานให้กับ Medecins Sans Frontiers เรื่องราวของตูอ่องเป็นหนึ่งในห้าสิบชีวิต ที่เขาได้รวบรวมไว้ในเว็บไซต์fiftyrefugees.wordpress.com หลังจาก Medecins Sans Frontiers ยุติโครงการ ในมาเลเซีย)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น