วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

Grave of the fireflies – (สุสานหิ่งห้อย) ชะตากรรมเด็กกำพร้าท่ามกลางสงคราม



 

 

โดย หมอกเต่หว่า

คุณจะรู้สึกอย่างไร หากต้องกลายเป็นเด็กกำพร้า สูญเสียพ่อแม่จากภาวะสงคราม ไม่มีอาหาร น้ำดื่ม ที่พักอาศัย และความหวังถึงสันติภาพยังคงริบหรี่ ?

ภาพยนตร์แอนนิเมชั่น เรื่อง "Grave of the fireflies" สัญชาติญี่ปุ่น หรือชื่อภาษาไทยว่า "สุสานหิ่งห้อย" จะทำให้คุณรับรู้ถึงความทุกข์ยากของเด็กน้อยที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าจากสงครามชนิดที่เรียกน้ำตาจากผู้ชมทั่วทุกมุมโลกมาแล้ว แม้ว่าจะเริ่มเข้าฉายทางโรงภาพยนตร์ครั้งแรกตั้งแต่พ.ศ. 2531 แต่จนถึงวันนี้ก็ยังคงได้รับการกล่าวถึงว่าเป็นหนังการ์ตูนเรื่องเยี่ยมอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ควรพลาด

ภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของนักเขียนชื่อ อาคิยูก โนซากะ ซึ่งต้องสูญเสียน้องสาวแท้ๆ จากภาวะขาดอาหารในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กำกับโดยอิซาโอะ ทาคาฮาตะ หนังเปิดตัวด้วยภาพวิญญาณของเด็กผู้ชายวัย 14 ปี ชื่อ เซตะ เล่าย้อนถึงชีวิตครอบครัวในปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ.1945) ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ครอบครัวของเซตะอาศัยอยู่ในเมืองโกเบ ระหว่างเกิดสงคราม พ่อต้องไปเป็นทหารเรือและขาดการติดต่อในเวลาต่อมา ส่วนแม่เสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดทางอากาศของสหรัฐ บ้านของเขาถูกระเบิดทำลายย่อยยับ เขาเหลือเพียงน้องสาวตัวเล็กๆ วัย 4 ขวบ ชื่อ เซ็ทสึโกะ หลังจากไม่มีพ่อและแม่ดูแล สองพี่น้องจึงต้องไปอาศัยอยู่กับป้า ตอนแรก ป้ายังคงแสดงออกว่ารักใคร่หลานทั้งสองคน แต่หลังจากรู้ว่าต้องรับภาระเลี้ยงดูหลานกำพร้าทั้งสองตลอดไปจึงเริ่มเอารัดเอาเปรียบต่าง ๆ นานา เช่น การหลอกให้เซตะนำกิโมโนของแม่ไปแลกข้าวสาร โดยขณะที่ครอบครัว ของป้าได้กินข้าวปั้นและอาหารดีๆ แต่สองพี่น้องได้กินแต่ข้าวต้ม นอกจากนี้ ยังด่าทอ เซตะและเซ็ทสึโกะอยู่ตลอดเวลา

หลังจากทนอยู่กับป้าไม่ไหว พี่ชายจึงตัดสินใจพาน้องสาวหนีไปอยู่ที่หลุมหลบภัยร้างใกล้บึงแห่งหนึ่ง ในยามค่ำคืน ที่นี่จะมีฝูงหิ่งห้อยบินว่อนไปทั่ว และแสงจากดวงไฟชีวิตหิ่งห้อยได้กลายเป็นความสุขเล็กๆที่ทำให้สองพี่น้องมีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพียงลำพัง

ชีวิตเร่ร่อนของสองพี่น้องเต็มไปด้วยความยากลำบาก  ถึงแม้เซตะผู้พี่จะพยามยามแสดงออกว่าเป็นพี่ชายที่เข้มแข็งและดูแลน้องสาวได้ แต่แท้จริงแล้ว เขาก็ยังเป็นเด็กที่โหยหาความรักและชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์พร้อมหน้าพ่อแม่เหมือนในอดีต เขายังคงหวังอยู่ตลอดเวลาว่า สักวันหนึ่งพ่อจะกลับมาหาพวกเขา

แต่ดูเหมือนว่า เด็กชายวัยเพียง 14 ปี กับน้องวัย 4 ขวบที่ต้องใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง และต้องยืนด้วยลำแข้งของตัวเองในภาวะที่ไฟแห่งสงครามยังคงคุกรุ่นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ทั้งสองต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนนอนกลางดินกินกลางทราย จับกบจับหอยกิน นานวันผ่านไป ทั้งสองพี่น้องเริ่มอยู่อย่างอดๆอยากๆ มากยิ่งขึ้น  เมื่อไม่มีใครหยับยื่นความช่วยเหลือให้ เพราะทุกคนต่างก็ต้องดิ้นรนมีชีวิตอยู่รอด ด้วยความอดอยากหิวโหยเขาต้องขโมยพืชผักของชาวบ้านเพื่อนำมาประทังชีวิต จนวันหนึ่งเขาถูกจับและถูกซ้อมอย่างหนักในขณะที่กำลังไปขโมยของ  ขณะที่เซ็ทสึโกะเองเริ่มไม่สบายและอ่อนแอลงไปทุกวันเนื่องจากความอดอยาก

ฉากแรกๆ ที่เริ่มเรียกน้ำตาคนดู คือ ฉากที่เซ็ทสึโกะน้องสาวร้องไห้หาแม่ แต่เซตะ พี่ชายพยายามปิดบังไว้ ต่อมาเซ็ทสึโกะนำซากหิ่งห้อยไปฝังพร้อมบอกกับพี่ชายตามประสาเด็กว่ารู้เรื่องที่แม่ตายแล้วเพราะป้าเป็นคนบอก และจะนำซากหิ่งห้อยไปฝังไว้เหมือนแม่ ฉากนี้ทำให้เซตะพี่ชายถึงกับปล่อยโฮออกมา หรือแม้แต่ฉากที่แสดงออกถึงความลำบากของเด็กทั้งสอง เช่น ฉากที่เซ็ทสึโกะอมลูกหินไว้ในปากเพราะคิดว่าเป็นลูกกวาด หรือแม้แต่ฉากที่เซ็ทสึโกะนำดินมาปั้นเป็นข้าวปั้นเพื่อให้เซตะกิน และท้ายสุดความอดอยากหิวโหยก็ทำให้เซ็ทสึโกะจากไปอย่างไม่มีวันกลับ

สิ่งที่ดูจะเป็นความขัดแย้งในเรื่อง คือ แม้ว่าเซตะและชาวบ้านคนอื่น ๆ กำลังทุกข์ยากลำบากและสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากภาวะสงคราม แต่เมื่อรู้ว่าญี่ปุ่นแพ้สงครามอย่างราบคาบ เขากลับไม่พอใจและยอมรับในสิ่งนี้ไม่ได้ ซึ่งแสดงถึงความใสซื่อของเด็กเรื่องชาตินิยมออกมาอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผลจากการที่เซตะไม่เหลือที่พึ่งใดๆ และไม่เหลือใครสักคนแล้ว ทำให้เขาหมดหวังกับชีวิต กลายเป็น เด็กเร่ร่อนและจบชีวิตลงอย่างอนาถในท้ายที่สุดด้วยเช่นกัน

จุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากเนื้อหาที่เศร้าจนทำให้น้ำตานองหน้า คือ การสร้างภาพเคลื่อนไหวของตัวละครที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนว่ามีเลือดเนื้อจริง ๆ ในฉากที่เด็กหญิงเซ็ทสึโกะยิ้ม ผู้ชมก็มักอมยิ้มตามไปด้วย หรือในฉากร้องไห้ก็ทำให้ผู้ชมต้องเสียน้ำตาไม่แพ้ภาพที่เห็นในจอ ภาพแสงสว่างริบหรี่ระยิบระยับของหิ่งห้อยเกือบตลอดทั้งเรื่องทำให้หนังดูสวยงามน่าประทับใจ ส่วนดนตรีประกอบก็ทำให้น้ำตาที่ไหลพรากอยู่แล้วพาลไหลไม่หยุด

หลังจากดูภาพยนตร์เรื่องนี้จบทำให้นึกถึงเด็ก ๆ อีกมากมายที่ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าจากภาวะสงคราม หรือภัยพิบัติธรรมชาติรุนแรงอย่างสึนามิ หรือพายุไซโคลนนาร์กิสที่ถล่มประเทศพม่าจนทำให้มีผู้เสียชีวิตนับแสน และทำให้มีเด็กกำพร้าจำนวนนับไม่ถ้วน เด็ก ๆ เหล่านี้กำลังเผชิญกับความอดอยากหิวโหยไม่ต่างจากเซตะและน้องสาวในภาพยนตร์เรื่องนี้  พวกเขาอาจกำลังอมก้อนหินแล้วจินตนาการถึงลูกกวาดหรือข้าวมื้ออร่อย ในขณะที่ท้องของเขาไม่ได้รับอาหารมานานหลายวันแล้ว

จนถึงวันนี้แม้ว่าพายุนาร์กิสจะผ่านไปนานนับเดือนแล้ว  แต่ดูเหมือนว่าพายุลูกที่สองที่รัฐบาลทหารพม่ากำลังก่อขึ้นด้วยการสกัดกั้นความช่วยเหลือจากนานาชาติกำลังทวีความรุนแรง นำพาความอดอยากหิวโหยมาสู่ผู้ประสบภัย อย่างประเมินค่ามิได้  ทุก ๆ นาทีที่ผ่านไป  อาจมีเด็กกำพร้าอย่างเซตะและเซ็ทสึโกะจากโลกนี้ไปด้วยความอดอยากหิวโหย  โดยที่ไม่มีใครรับรู้

วิญญาณของพวกเขาอาจเปรียบเสมือนแสงสว่างอันริบหรี่ของหิ่งห้อยที่ผู้คนห่างไกลยากจะมองเห็น.

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น