วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

เรื่องสั้น : จดหมายฉบับสุดท้าย

“พ่อ ยายคนนั้นหลับอยู่ตั้งนานแล้ว ไม่รู้ว่าจะไปไหน เลยสถานีที่ยายจะลงหรือยังก็ไม่รู้”

ลูกสาวคนโตร้องบอกผมด้วยท่าทีกังวลใจ ผมจึงเริ่มสังเกตยายที่นอนอยู่อีกฟากหนึ่งของเก้าอี้

ปกติแล้ว ผมเขียนแต่หนังสือจึงไม่ค่อยได้สังเกตคนรอบข้างเท่าไร เหตุที่ผมตัดสินใจนั่งรถไฟแบบจอดทุกๆสถานี ก็เป็นเพราะอยากจะหาข้อมูลจากการเดินทางครั้งนี้ให้ละเอียดที่สุด ผมพาลูกสาวทั้งสองคนร่วมเดินทางในครั้งนี้ด้วย ซึ่งเป็นการเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดอีกครั้งในรอบหลายปี ผมกับลูก ๆ อยู่ที่บ้านเกิดประมาณหนึ่งอาทิตย์ก็ลากลับ


ทันใดลูกสาวคนเล็กจึงพูดเสริมขึ้นมาว่า “ใช่ค่ะพ่อ ตั้งแต่ยายขึ้นรถไฟก็นอนลูกเดียว ไม่ขยับเลยสักนิด”

ผมจึงชำเลืองมองไปที่ยายคนนั้นอีกครั้ง ซึ่งน่าจะอายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นของยายถูกทาทับด้วยแป้งตะนาคาหนาเตอะ  แม้จะมีผมหงอกขึ้นบ้างแต่ก็ยังไม่ถือว่าขาวโพลนทั้งหัว เพราะยังมีเส้นผมสีแดงขึ้นแซมบ้างเป็นแห่ง ๆ

ยายใส่เสื้อคอจีบเอวลอยเหมือนคนแก่ทั่ว ๆ ไป และสวมผ้าซิ่นปาเต๊ะที่สีซีดมากแล้ว ข้าวของสัมภาระของยายดูเหมือนจะมีแค่ปิ่นโตหนึ่งเถากับกระเป๋าเก่า ๆ ใบหนึ่งเท่านั้น

ผมเห็นว่ายายคนนั้นยังหายใจเป็นปกติอยู่ จึงไม่กล้าปลุก แต่ก็อดคิดอยู่ในใจไม่ได้ว่า ทำไมยายจึงนอนหลับใหลได้ถึงขนาดนี้  ยายจะลงที่ไหน หรือว่ายายเป็นขอทานจึงไม่มีสถานีปลายทางที่ต้องการจะลง ผมคิดไปต่าง ๆ นานา

“พ่อคิดอะไรอยู่คะ เราปลุกยายดีไหม ส่วนงานเขียนของพ่อเอาไว้คิดทีหลังจะได้ไหมคะ” ลูกสาวคนโตทักท้วงเมื่อเห็นผมนิ่งเงียบไป

“ใกล้จะถึงอีกสถานีแล้วแน่ ๆ  เจ้าหน้าที่เปิดหวูดรถไฟตั้งสองครั้งแล้ว” ลูกสาวคนเล็กร้องบอกด้วยความเป็นห่วงยายคนนั้น แต่ลูกทั้งสองคงไม่รู้ว่า ผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน

ผมจึงบอกกับลูกๆ ว่า “ยายคงจะรู้ตัวอยู่บ้างแหล่ะ อย่ากังวลไปเลย”

ผมอธิบายต่อว่า “เวลาผู้ใหญ่นอนส่วนมากจะหลับ ๆ ตื่น ๆ พ่อคิดว่ายายเค้าก็คงจะรู้ตัวอยู่ แต่อาจเป็นไปได้ว่า ยายคงไม่ได้หลับมาหลายคืนแล้วก็ได้”

แล้วลูกสาวก็ตอบผมด้วยสีหน้าสบายใจขึ้น

“ใช่จริงด้วยนะพ่อ แต่ว่ายายเค้ากินข้าวเช้าหรือยังก็ไม่รู้ หนูอยากจะปลุกให้ยายตื่นจัง”

ในขณะที่เราสามพ่อลูกคุยกันอยู่นั้น รถไฟก็กำลังจะจอดที่สถานีพยาแล

ผมอดใจไม่ไว จึงปลุกยายคนนั้นตื่นด้วยความรู้สึกเกรงใจ ผมถามออกไปว่า

“คุณยายจะลงที่ไหนครับ” ระหว่างนั้นยายเปิดตาชำเลืองดูผมนิดหนึ่ง ดูสีหน้ายายแล้วคงยังไม่อยากตื่นสักเท่าไหร่ แต่ก็ตอบผมกลับมาว่า  “ไม่เป็นไรหรอกนะ แม่จะไปที่ดาเป่ง เดี๋ยวรถไฟจอดที่สถานีพะโค แม่ก็ตื่นเองเหละ แต่ก็ไม่เป็นไรตื่นตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน แม่จะลุกมาสวดมนต์ซักหน่อย เพราะแม่ไม่ได้สวดมนต์ตั้งสามวันแล้ว ขอแม่สวดมนต์หน่อยนะ” ยายพูดจบก็หันหลังกลับไป แต่ไม่นานก็หลับต่อเหมือนเดิม

ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถไฟแล่นมาถึงสถานีพะโค ตรงสถานีพะโคมีของกินมากมายหลายอย่าง ทั้งชานม ข้าวผัด ขนมและเครื่องดื่มหลากหลาย ไม่นานนักเสียงพ่อค้าแม่ค้าและเสียงระฆังก็ดังโหวกเหวกน่ารำคาญ แต่ยายก็ยังไม่ตื่นสักที ทำให้ผมและลูก ๆ รู้สึกเป็นห่วงขึ้นมาอีกครั้ง ลูก ๆ บอกผมว่าอยากกินยำไก่ ผมเลยเรียกแม่ค้าขายยำไก่ สั่งมาสามที่  ผมนึกในใจว่าควรจะปลุกยายดีไหม

ระหว่างนั้นลูกสาวคนเล็กบอกว่า “พ่อปลุกยายดีไหม มีข้าวมาด้วยหรือเปล่าไม่รู้ ซื้ออะไรสักอย่างให้ยายกินดีไหม”

ลูกสาวคนโตก็บอกว่า “พ่อ งั้นหนูปลุกยายเลยนะ” ลูกสาวคนโตรีบปลุกยายทันที

“ยาย ๆ” เรียกสองสามครั้งแต่ยายก็ไม่ตอบสักที สักพักยายจึงเปิดตาดูและมองไปรอบ ๆ แล้วพูดว่า

 “เอ๊ะ ถึงพะโคแล้วหรือ แม่ไม่ได้นอนมาสามสี่คืนเลยเผลอหลับไป” แล้วยายก็บอกผมว่า

“พ่อหนุ่มเรียกคนขายน้ำดื่มให้แม่หน่อยได้ไหม” ผมยังไม่ทันพูดอะไร ลูกสาวคนเล็กรีบเรียกแม่ค้าสาวและซื้อน้ำให้ยายทันที ลูกสาวคนโตก็บอกกับยายว่า

 “คุณยายคะ พวกหนูอยากจะเลี้ยงข้าวยาย ยายจะกินไหม แต่ถ้ายายไม่อยากกินข้าว คุณยายกินยำไก่ก็ได้นะคะ” และผมก็พูดตามหลังลูกสาวว่า

“ใช่ครับคุณยาย ยำไก่อร่อยมาก ผมจะสั่งให้ยายนะครับ”

สักพัก เราสามพ่อลูกกับคุณยายแปลกหน้าก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว เราสามพ่อลูกรู้สึกสงสารยายขึ้นมาจับใจ และการที่เราได้เลี้ยงข้าวคุณยายนั้น ทำให้เราสามพ่อลูกรู้สึกสบายใจและสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก เห็นยายกินยำไก่อย่างเอร็ดอร่อย ก็ทำให้พวกเราเบิกบานใจมากแล้ว

รถไฟค่อย ๆ แล่นออกจากสถานีพะโค เราสามพ่อลูกกับยายก็ได้คุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ ยายได้เล่าเรื่องที่ยายกำลังจะเดินทางไปที่ดาเป่งว่า

“แม่อยู่ที่โต่วิ สามีแม่เป็นทหารพม่าสมัยที่ทหารญี่ปุ่นเข้ามายึดครองพม่า และเขาถูกทหารญี่ปุ่นฆ่าตาย แม่มีลูกชายอยู่คนนึง เค้าเดินตามรอยพ่อไม่ผิดเพี้ยน ลูกชายแม่เป็นทหารปกป้องประเทศตั้งแต่อายุแค่ยี่สิบปี และตอนนี้เค้าก็เป็นทหารมาครบยี่สิบกว่าปีแล้ว” ผมสังเกตเห็นว่า แววตาของคุณยายเป็นประกายทุกครั้งที่เล่าถึงลูกชาย  คุณยายเล่าต่อว่า

“ตอนแรกที่ลูกชายเป็นทหารใหม่ ๆ เค้ามักจะส่งจดหมายมาหาแม่ทุก ๆ เดือนหรือสองเดือน แต่ก็ส่งจดหมายมาสม่ำเสมอ ต่อมาได้ยินข่าวว่าเค้าได้เลื่อนตำแหน่งแล้วถูกย้ายไปอยู่ที่รัฐฉาน แต่เค้าก็ยังคงส่งจดหมายมาหาแม่พร้อมเงินห้าสิบหรือหนึ่งร้อยจั้ตเป็นประจำ ลูกชายของแม่ตอนนี้เป็นนายร้อยแล้ว แต่หลังจากส่งจดหมายพร้อมเงินหนึ่งร้อยจั้ตแล้ว เขาก็ไม่ส่งข่าวมาหาแม่นานมาก แม่เล่าให้น้องชายของแม่ฟัง น้องชายแม่จึงส่งจดหมายไปหาลูกชายของแม่ ลูกชายก็ตอบกลับมาว่า ไม่ค่อยว่างสักเท่าไรเพราะมีการสู้รบกันบ่อยมาก” ยายเล่าต่อไปด้วยสีหน้าเป็นกังวลว่า

“แม่กลัวมาก...แม่ไม่อยากให้ลูกชายต้องตายในสงคราม เพราะพ่อของเขาก็ตายในสงครามมาแล้ว แม่ก็เลยให้น้องชายเขียนจดหมายไปขอร้องให้เขากลับบ้านมาอยู่กับแม่ แต่ลูกก็ยังไม่กลับมาสักที นี่ก็ปาเข้าไปสองปีแล้ว...” พวกเราทั้งหมดต่างเงียบกันไปซักพัก

แต่ยายก็ทำลายบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเงียบโดยพูดขึ้นมาว่า

“แม่เพิ่งได้รับจดหมายจากลูกชายเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี้เอง  กับจดหมายอีกฉบับหนึ่งจากสำนักงานอะไรสักอย่างนี่แหล่ะ เมื่อก่อนจดหมายจากลูกจะมาส่งที่โรงเรียนของน้องชายประจำ เพราะน้องชายแม่เป็นครู แต่ตอนนี้น้องชายของแม่ย้ายไปอยู่ที่ดาเป่งสองปีแล้ว แม่ดีใจที่ได้รับจดหมายจากลูกชายอีกครั้ง วันที่ได้รับจดหมาย แม่ดีใจจนนอนไม่หลับกินไม่ลงเลยทีเดียว” ยายพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น และยายก็เล่าให้พวกเราฟังต่อไปว่า

“ในจดหมายเขาบอกว่าตอนนี้ได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองมิตจีนา รัฐคะฉิ่น เขาบอกว่า ก่อนที่ไปออกรบ เขาอยากเจอแม่และถ้ามีเวลาอยากไปเที่ยวกับแม่ที่ชเวบู แต่ตอนนี้แม่มีเงินไม่พอ แม่ก็เลยจะแวะไปหาน้องชายที่ดาเป่งก่อน เพื่อไปขอเงินค่าเดินทางไปหาลูกชายที่เมืองมิตจีนา น้องชายของแม่เองก็ส่งเงินให้แม่เดือนละสี่สิบห้าสิบจั๊ตเป็นประจำ แม่ก็เกรงใจน้องชายอยู่เหมือนกัน เพราะเขามีครอบครัวที่ต้องดูแล แต่เขาไม่มีลูกเขาก็เลยส่งเงินให้แม่ได้”

เราสามพ่อลูกนั่งฟังคุณยายเล่าเรื่องของคุณยายอย่างตั้งอกตั้งใจ เหมือนลูก ๆ กำลังตั้งใจฟังแม่เล่านิทานยังไงยังงั้น ลูกสาวทั้งสองคนของผมมองยายอย่างไม่กระพริบตา และลูกสาวคนโตก็ถามยายว่า

 “แล้วจดหมายฉบับนั้นอยู่ที่ไหนล่ะคะยาย” ยายจึงตอบกลับมาว่า

“เอ้อ ยายก็อยากให้พวกหนู ๆ อ่านให้ยายฟังเหมือนกัน”

ยายหยิบจดหมายฉบับนั้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ยื่นให้พวกเราสามคนพ่อลูกดู ลูกสาวคนโตรับจดหมายจากยายแล้วเปิดอ่าน ไม่นาน สีหน้าลูกสาวคนโตของผมก็เปลี่ยนไปเหมือนไม่สบายใจทันที ผมอยากจะถามลูกสาวว่าเกิดอะไรขึ้น ลูกสาวเหมือนจะรู้ว่าผมคิดอะไรอยู่ จึงยื่นจดหมายนั้นให้ผมอ่าน

ทันทีที่ผมอ่านเสร็จ ผมรีบดูวันที่ในจดหมายฉบับนั้นอีกครั้ง แล้วจึงคืนจดหมายให้กับยาย ยายจึงถามพวกเราว่า

“ว่ายังไง ลูกชายของแม่อยู่ที่เมืองมิตจีนาจริง ๆ ใช่ไหม”

คอผมเริ่มแห้งและพูดไม่ออก เหงื่อเริ่มไหลออกตามใบหน้าและฝ่ามือ ผมตอบตะกุกตะกักไปว่า

“ใช่ครับแม่” ผมพูดได้แค่นั้น

เรื่องราวในจดหมายนั้นมีแค่ผมกับลูกสาวคนโตเพียงสองคนเท่านั้นที่รู้ ลูกสาวคนเล็กได้แต่หันมองหน้าผมสลับกับมองหน้าพี่สาวไปมา แต่ดูเหมือนว่า ลูกสาวคนเล็กเหมือนจะเข้าใจว่าไม่ควรถามอะไรในเวลานี้ แม้ลูกสาวคนโตจะมีสีหน้าที่อยากจะพูดออกไปให้รู้แล้วรู้รอดตามนิสัยของผู้หญิงเต็มทีก็ตาม แต่ทุกคนต่างเลือกที่จะไม่พูดอะไรออกไป

สักพักพวกเราก็มาถึงที่สถานีรถไฟดาเป่ง ก่อนที่คุณยายจะล่ำลาพวกเราและลงจากรถไฟไป คุณยายได้พูดขึ้นว่า

“แม่จะไม่ลืมบุญคุณของลูก ๆ นะจ๊ะ แม่จะอธิษฐานให้ลูก ๆ นะ เพราะแม่กำลังจะไปหาลูกชายและจะไปไหว้พระกับลูกชาย แม่ไปก่อนนะจ๊ะ” ยายบอกลาพวกเราสามพ่อลูกด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและดีใจที่จะได้เจอกับลูกชายในอีกไม่ช้า หลังจากที่ยายได้ลงจากรถไฟไป ลูกสาวคนเล็กก็มองตามหลังของยายและถามผมว่า

“พ่อ ในจดหมายนั้นมีอะไรหรือคะ”

ผมเงียบไปซักพัก แต่ก็ตอบลูกสาวอย่างไม่สบายใจว่า

“น่าสงสารยายคนนั้นจัง จดหมายที่ส่งมาจากลูกชายของยายนั้นเขียนขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว และจดหมายอีกฉบับหนึ่งส่งมาจากทางกองทัพที่แจ้งว่าลูกชายของยายนั้นตายในสงครามแล้ว”

ผมคิดอยู่คนเดียวว่า ทำไมจดหมายของยายถึงมาช้าอย่างนี้ ลูกสาวคนเล็กถามขึ้นเหมือนรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

“ทางไปรษณีย์ส่งช้าหรือเปล่าคะพ่อ” ผมจึงตอบลูกสาวไปว่า

“ไม่เกี่ยวกับทางไปรษณีย์แน่ น้องชายของยายที่ย้ายไปอยู่ที่ดาเป่งคงไม่กล้าบอกความจริงกับพี่สาวมากกว่า จึงเลือกที่จะทำแบบนี้

ลูกสาวคนโตของผมจึงพูดเสริมขึ้นบ้าง

“ใช่อย่างที่พ่อพูดแน่ ๆ เพราะตอนนี้ยายกำลังจะไปหาน้องชายของยาย ถึงน้องชายของยายจะไม่อยากบอกความจริงกับยาย แต่จนถึงขนาดนี้ก็จำเป็นต้องบอกแล้ว”

ลูกสาวคนเล็กพูดด้วยความเป็นห่วงยายว่า

“ถ้ายายรู้ความจริงว่า ลูกชายตายแล้ว ยายจะเป็นอย่างไงบางก็ไม่รู้นะพ่อ”

…………………………….

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น