วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

Innocent Voices - เสียงบริสุทธิ์หยุดสงคราม

โดย หมอกเต่หว่า

คนส่วนใหญ่มักพูดว่า วัยเด็กเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความสุข ตื่นเต้นสนุกสนาน ไม่ต้องคิดอะไรให้ปวดหัวเหมือนพวกผู้ใหญ่ แต่คำกล่าวนี้อาจใช้ไม่ได้กับเด็กในประเทศที่ไฟสงครามยังคงคุกรุ่น เพราะ เด็กเหล่านั้นอาจไม่เคยลิ้มรสชาติของความเป็นเด็กเลยด้วยซ้ำไป

ภาพยนตร์เรื่อง  "Innocent Voice" หรือชื่อภาษาไทยว่า  "เสียงบริสุทธิ์ หยุดสงคราม" นำเสนอเรื่องราวการดิ้นรนเพื่อมีชีวิตอยู่รอดของประชาชนในประเทศที่มีความขัดแย้งทางการเมืองแบบตรงไปตรงมา หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงของ Oscar Torres  เด็กหนุ่มผู้หนีการเกณฑ์ทหารเด็กจากประเทศเอล ซัลวาดอร์มาอยู่ในสหรัฐอเมริกา กำกับโดย Luis Mandoki ผู้กำกับฝีมือดีชาวเม็กซิกัน จนทำให้หนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จได้รับรางวัลมาแล้วหลายรางวัล ว่ากันว่าหนังเรื่องนี้เข้าฉายในประเทศเอล ซัลวาดอร์นานถึง 3 เดือนเลยทีเดียว

เหตุการณ์ในหนังกล่าวถึงสงครามการเมืองในประเทศเอล ซัลวาดอร์ระหว่างปี พ.ศ. 2523 - 2535 ซึ่งตั้งอยู่ในอเมริกากลาง เป็นสงครามระหว่างรัฐบาลเผด็จการทหาร ซึ่งมีอเมริกาหนุนหลังและกองกำลัง FMLN ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมจากรัฐบาล ในช่วงเวลาดังกล่าว ทั้งสองฝ่ายต่างมีการเกณฑ์เด็กที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปเป็นทหาร

ชาวา รับบทโดย Carlos Padilla เด็กชายวัย 11 ปี อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ บนแนวเขตสู้รบ หมู่บ้านของเขามีการสู้รบเกิดขึ้นทุกวัน ชาวาอาศัยอยู่กับแม่ นำแสดงโดย Leonor Varela และน้องอีกสองคน แม้ชาวาจะมีอายุเพียง 11 ปี แต่เขาก็ต้องรับภาระหลายอย่างในบ้าน นับจากวันที่พ่อทิ้งครอบครัวหนีไปอยู่อเมริกา

ชาวากลัวเสียงปืนและการสู้รบ เช่นเดียวกับเด็กทุกคน  แต่สิ่งที่เขาหวาดกลัวมากที่สุด คือ  วันที่เขาอายุครบ 12 ปี เพราะนั่นหมายความว่า เขาจะต้องถูกนำตัวไปเป็นทหารและต้องจากครอบครัวไป ชาวาจึงใช้ชีวิตช่วงวัยเด็กที่เหลืออีกหนึ่งปีของเขาให้คุ้มค่ามากที่สุด ทั้งการเล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆ ตามประสาเด็กและช่วยแบ่งเบาภาระแม่โดยไปทำงานเป็นเด็กท้ายรถเมล์ รวมทั้งดูแลน้องๆ ทั้งสองคนหลังจากที่แม่ไปทำงานตอนกลางคืน

ภาพทหารฝ่ายรัฐบาลบุกเข้ามาในโรงเรียน เพื่อเรียกตัวเพื่อนของชาวาและเด็กชายคนอื่นๆที่มีอายุมากกว่า 12 ปีไปเป็นทหารเป็นภาพที่ตอกย้ำให้ชาวาและเด็กนักเรียนคนอื่นๆ หวาดกลัวมากขึ้น ฉากที่เด็กๆ ถูกเรียกชื่อออกมาตั้งแถวทีละคน สะท้อนภาพความรู้สึกของเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี บางคนถึงกับฉี่ราด หรือร้องไห้หาแม่ขณะถูกทหารนำตัวขึ้นรถ ในขณะที่ครูทำได้เพียงยืนมองลูกศิษย์ลับตาไปโดยไม่สามารถทำอะไรได้

แต่เรื่องราวของชาวาก็ไม่ได้เต็มไปด้วยความหดหู่อยู่ตลอดเวลา หนังได้นำเสนอมุมมองความเป็นเด็กของชาวาไว้หลากหลายรูปแบบ ทั้งการเล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆ ตามประสาเด็กโดยไม่สนใจว่า บ้านเมืองกำลังลุกเป็นไฟ หรือแม้แต่การรู้จักความรักเป็นครั้งแรกกับเพื่อนร่วมชั้นเรียนแสนสวย ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าชาวากำลังจะก้าวจากความเป็นเด็กเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น เรื่องราวกุ๊กกิ๊กของชาวาและสาวน้อยในเรื่อง ทั้งฉากที่ชาวาพาเพื่อนสาวไปปล่อยโคมไฟจนมืดค่ำและถูกแม่ดุ หรือแม้แต่ฉากที่ชาวาและเด็กสาวแอบหอมแก้มกันบนหลังคา แม้จะดูเกินวัยไป แต่ก็ทำให้ใครหลายคนต้องอมยิ้มกับความรักใสซื่อบริสุทธิ์แบบวัยรุ่น

แต่แล้ววันหนึ่ง น้าเปโต้ของชาวาที่หายตัวไปเข้ากับกลุ่ม FMNL ได้กลับมาบ้านอีกครั้ง พร้อมให้สัญญากับชาวาว่าจะกลับมารับชาวาตอนอายุครบ 12 ปี เพื่อไม่ให้เขาไปเป็นทหารของฝ่ายรัฐบาล แม้เวลาจะผ่านไป แต่ดูเหมือนว่า เหตุการณ์ความขัดแย้งต่างๆในประเทศกลับไม่ได้คลี่คลายลง ซ้ำร้ายการสู้รบระหว่างทหารฝ่ายรัฐบาล ซึ่งมีทั้งทหารเด็กและกองกำลัง FMNL กลับเพิ่มมากขึ้น มีการยึดโรงเรียนและโบสถ์เป็นป้อมปราการ และใช้ถนนเป็นสนามรบต่อสู้ห้ำหั่นกัน แม้แต่บาทหลวงก็ถูกพวกทหารฝ่ายรัฐบาลทำร้ายร่างกายบาดเจ็บสาหัส มีอยู่ฉากหนึ่งที่บาทหลวงพูดขึ้นว่า "การภาวนาอย่างเดียว คงไม่เพียงพอ (ที่จะทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้) " หลังการสู้รบ โรงเรียนของชาวาถูกปิดอย่างไม่มีกำหนด ภายหลังแม่จึงตัดสินใจพาชาวาและน้องย้ายไปอยู่กับยายอีกหมู่บ้านหนึ่ง

และแล้ววันเกิดของชาวาก็มาถึง พร้อมๆ กับที่เขาได้รับข่าวจากกองกำลัง FMNL ว่า ในวันรุ่งขึ้น ทหารจากฝ่ายรัฐบาลจะมาเกณฑ์เด็กในหมู่บ้านไปเป็นทหาร ฉากที่ชาวาและเพื่อนๆ นำใบปลิวไปสอดไว้ตามประตูบ้านต่างๆ เพื่อบอกให้เด็กชายทุกคนระวังตัว หรือแม้แต่ฉากที่เด็กชายเกือบทั้งหมู่บ้านนอนหลับอยู่บนหลังคาจนดึกดื่น เพื่อหลบหนีการถูกจับไปเป็นทหารทำให้ผู้ชมรู้สึกประทับใจ แม้ชาวาและเพื่อนสนิทจะหนีรอดจากการถูกจับไปเป็นทหารมาได้หลายครั้ง แต่เด็กจำนวนหนึ่งก็ไม่อาจหนีรอดจากชะตากรรมนี้ได้ ทหารฝ่ายรัฐบาลเริ่มไล่ล่าเด็กชายมากขึ้นทุกวัน ไม่เว้นแม้แต่เด็กชายที่อายุยังไม่ถึง 12 ปีด้วยซ้ำ

สิ่งที่ทำให้ชาวาต้องเสียใจมากที่สุดก็คือ เด็กสาวที่ชาวาแอบหลงรักนั้นต้องจบชีวิตลงจากสงคราม ฉากที่ชาวานั่งเสียใจร้องไห้ เพราะสูญเสียคนรักนั้นอาจทำให้ใครหลายคนที่ได้ชมพูดไม่ออก จนวันหนึ่งชาวาและเพื่อนอีกสี่คนตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับกองกำลัง FMNL แต่เหตุการณ์ดูเหมือนจะไม่ราบรื่นนัก เมื่อทหารฝ่ายรัฐบาลบุกโจมตีฐานที่มั่นของกองกำลัง FMNL จนเป็นเหตุให้ชาวาและเพื่อนทั้งหมดถูกจับตัวไป ฉากที่เพื่อนของชาวาถูกยิงศีรษะเสียชีวิตไปทีละคน หรือฉากที่เด็กชายจำนวนมากถูกยิงตายเกลื่อนกลาดใกล้แม่น้ำ เป็นฉากที่ดูแล้วรู้สึกโหดร้ายเกินไปสำหรับชีวิตของเด็กๆ เหล่านี้

ชาวาหนีเอาชีวิตรอดได้เพียงคนเดียว เพราะได้รับความช่วยเหลือจากน้าเปโต้และกองกำลัง FMNL เขาได้หวนกลับคืนอ้อมอกแม่อย่างปลอดภัย และต่อมา แม่ตัดสินใจส่งเขาอพยพไปอยู่อเมริกากับเพื่อนบ้านเพื่อให้เขาได้ใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างเต็มที่

แม้หนังจะไม่ได้สื่อออกมาว่า อุดมการณ์ทางการเมืองของฝ่ายไหนผิดหรือถูก แต่สิ่งหนึ่งที่ถ่ายทอดออกมาได้อย่างชัดเจนคือ ไฟสงครามหรือความขัดแย้งไม่ได้ทำให้ความไร้เดียงสาของเด็กๆ หายไป ชาวาและเพื่อนๆ พยามยามทำให้สถานการณ์ที่ตึงเครียดกลายเป็นเรื่องสนุกสนานและเกม เช่น การแข่งกับเวลาเคอร์ฟิว การเล่นซ่อนแอบอยู่บนหลังคาเมื่อทหารมาจับตัว ซึ่งยังคงความเป็นเด็กและการต่อสู้เอาตัวรอดในแบบของเด็กเอาไว้

เหตุการณ์ในหนังเรื่องนี้อาจไม่แตกต่างจากชีวิตของทหารเด็กในพม่า ซึ่งต้องถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารตั้งแต่อายุยังน้อย ด้วยปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ในขณะที่เด็กสาวถูกย่ำยีทั้งร่างกายและจิตใจ เด็กผู้ชายถูกพรากจากอกพ่อแม่ให้ไปเป็นทหารในกองทัพพม่าและกองกำลังชนกลุ่มน้อย โดยอ้างเหตุผลง่ายๆ ว่าทหารเด็กเหล่านั้นจะทำหน้าที่ปกป้องประเทศ แต่ในความเป็นจริงเด็กชายเหล่านี้จะได้รับการฝึกเพียงไม่กี่เดือน ยังไม่ทันใช้อาวุธคล่อง หรือ ความสูงเลยกระบอกปืนเพียงนิดเดียวก็ถูกส่งไปรบแนวหน้า ซึ่งหมายความว่า พวกเขากำลังจะถูกส่งไปตายนั่นเอง

เป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับเด็กบางคนที่ไม่มีโอกาสแม้แต่จะเป็นเด็ก ตราบใดที่สันติภาพและความสงบสุขยังไม่เกิดขึ้นในแผ่นดินพม่าและแผ่นดินสงครามอีกมากมายบนโลกใบนี้  ตราบนั้นเด็กอีกจำนวนมากก็ยังคงถูกขโมยความเป็นเด็กกันต่อไป.

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น