วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

เพื่อนพม่า...มิตรภาพหลังพายุนาร์กิส

โดย อาภัสสร สมบูรณ์วัฒนา

หลังจากพายุนาร์กิสพรากชีวิตผู้คนในลุ่มอิรวดีนับแสนไปจากโลกใบนี้  ท่ามกลางความโศกเศร้าและสิ้นหวังจากความสูญเสีย ยังมีคนเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่อยากหยิบยื่นน้ำใจให้กับเพื่อนในยามยากไร้ ซึ่งได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพระหว่างฉันกับเพื่อนหลายเชื้อชาติ ที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นอย่างงดงามพร้อมกับความทรงจำดี ๆ มากมาย  นับตั้งแต่วันแรกที่ฉันได้รับอีเมล์จากเพื่อนชาวพม่าที่มหาวิทยาลัยว่าจะมีการไปเล่นดนตรีเปิดหมวกที่ถนนคนเดินเพื่อระดมทุนช่วยเพื่อนผู้ประสบภัย ฉันตัดสินใจโดยไม่รั้งรอระดมพี่น้องเพื่อนฝูงไปร่วมขบวนด้วย   วันนั้นฝนตกแต่พวกเราก็ยังยืนกันอยู่ท่ามกลางสายฝน  ไม่น่าเชื่อว่าเวลาเพียงไมถึงสามชั่วโมงจะได้เงินมากว่าสองหมื่นห้าพันบาททั้งจากชาวไทยและชาวต่างประเทศ

เงินบริจาคเหล่านี้ถูกรวบรวมไว้เพื่อส่งผ่านไปให้ผู้ประสบภัยนาร์กิสที่รอความช่วยเหลืออยู่ในประเทศพม่าและจัดกิจกรรมรณรงค์สร้างความเข้าใจในสังคมไทย ภายใต้ชื่อ กลุ่มเพื่อนเชียงใหม่เพื่อเพื่อนผู้ประสบภัยนาร์กิส”  ที่ผ่านมากลุ่มของเราได้รับเงินบริจาคทั้งจากบุคคลและองค์กรต่าง ๆ กว่าสามแสนบาท และเราได้ดำเนินการช่วยเหลือไปแล้วหลายกลุ่มซึ่งเป็นกลุ่มของอาสาสมัครที่ลงไปทำงานกับชุมชน  แม้ว่าความเดือดร้อนของผู้ประสบภัยยังคงมีมากกว่าเงินบริจาคที่เรามีอยู่หลายเท่านัก แต่มิตรภาพที่ยิ่งใหญ่ไร้พรมแดนนั้นเทียบค่าไม่ได้เลยกับเงินที่เราได้มา

 

และความทรงจำอันงดงามเหล่านั้น  ยังร่ายรำอยู่ในใจของฉันเสมอ

............................

เสียงเพลงเดือนเพ็ญจากการขับร้องของฉันจบลงท่ามกลางเสียงปรบมือของผู้เข้าร่วมงานสามร้อยกว่าคน ที่หอประชุมในมหาวิทยาลัยพายัพ เชียงใหม่ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา งานนี้ร่วมจัดโดยเพื่อนพ้องจากพม่าที่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และเพื่อนพ้องคนไทยเพื่อช่วยระดมทุนไปให้พี่น้องชาวพม่าผู้ประสบภัยจากพายุไซโคลนนาร์กิส ฉันบอกพวกเขาว่าฉันไม่ใช่นักร้อง ฉันเป็นนักศึกษาคนหนึ่งที่อยากมาร้องเพลง...เพื่อร่วมเป็นกำลังใจให้ทั้งผู้ประสบภัย และเพื่อนชาวพม่าที่อยู่ในไทย ให้สู้ต่อไปอย่างมีความหวัง

 

คืนนั้น...ฉันได้เพื่อนใหม่อีกมากมาย

 

และคืนเดียวกันนั้นเอง ในฐานะผู้ประสานงานของกลุ่ม ทำให้ฉันต้องเดินทางไปยังอำเภอแม่สอด จังหวัดตากเพื่อประสานกับทีมหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ของหมอซินเทีย แพทย์หญิงชาวกะเหรี่ยง ผู้ก่อตั้งคลินิกแม่ตาว  เนื่องจากช่วงเวลาของการเดินทางไปแม่สอดครั้งนี้ตรงกับการจัดพิธีศพให้นายซอ บาติน ผู้นำคนสำคัญแห่งกองทัพกะเหรี่ยงเคเอ็นยู (Karen National Union) ฉันจึงมีโอกาสเดินทางไปร่วมงานพิธีครั้งนี้โดยไม่ได้คาดหมายมาก่อน

ตอนแรกที่ฉันรู้ว่า บุคคลที่ฉันจะเดินทางไปร่วมงานศพเป็นใคร ฉันแอบอึ้งอยู่เงียบ ๆ เพราะชื่อของกองทัพเคเอ็นยู ฉันเคยได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ๆ ถึงการต่อสู้เพื่อปกป้องเผ่าชนของเขาจากรัฐบาลทหารพม่า ภาพความตายและความน่ากลัวของสงคราม ลอยเข้ามาในห้วงคิดคำนึงเป็นระยะๆ นอกจากนั้นฉันก็ไม่รู้อะไรเลย...

รถของเราผ่านไปทางอำเภอทางสองยางและศูนย์ลี้ภัยแม่หละที่เต็มไปด้วยกระท่อมมุงหญ้าคากระจายอยู่บนดอยสูงหลายลูก ฉันจำได้คลับคล้ายคลับคลา...ว่าฉันเคยโบกรถผ่านมาที่นี่เมื่อเกือบสิบปีก่อนสมัยยังเป็นเด็กนักศึกษา

ตอนนั้นฉันกับเพื่อนนั่งอยู่ข้างหลังรถกระบะ ฉันเข้าใจว่าตัวเองมองเห็นทิวเขาสีน้ำเงินสดอยู่ลิบ ๆ แต่เมื่อเข้าไปใกล้จึงได้รู้ว่า ที่แท้เป็นเต็นท์พักชั่วคราวของผู้อพยพจากฝั่งพม่า

เมื่อรถข้างหน้าเริ่มติดขัดทำให้รถของเราช้าลง ผู้คนนับร้อยนับพันที่อยู่ข้างทาง ได้เดินสวนรถของเรามา ภาพใบหน้าที่แบกความทุกข์หนัก...เหมือนคนแบกโลกไว้ทั้งโลกของพวกเขายังติดตาฉันมาจนทุกวันนี้  ฉันได้เรียนรู้ต่อมาอีกหลายปีให้หลัง ว่าทำไมพวกเขาต้องหนีตายข้ามมาฝั่งไทย ได้รู้ถึงความโหดร้ายทารุณของรัฐบาลทหารพม่า...ที่ฆ่าคนได้ไม่เลือก แต่สิ่งที่ฉันรู้นั้น...เทียบไม่ได้กับสิ่งที่เพื่อนมนุษย์ในพม่า-ต้องทนทุกข์มานานกว่าห้าสิบปี

เรือหางยาวพาพวกเราข้ามฟากฝั่งของแม่น้ำเมยไปสู่บริเวณงาน ฉันแปลกใจเล็กน้อยที่เขาไม่ได้ตรวจกระเป๋าฉันเลย และแปลกใจมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเพื่อนใหม่ที่ฉันอาศัยร่วมทางมาด้วยได้รับการทายทักจากเพื่อนชาว KNU ไปตลอดทาง ซึ่งนับจากริ้วรอยประสบการณ์บนใบหน้าแล้ว พวกเขาเหล่านั้นน่าจะมีตำแหน่งสูง ๆ กันแทบทุกคน ฉันเองก็ได้รับการแนะนำไปตลอดทาง ว่าเป็นส่วนหนึ่งของทีมร่วมจัดงานระดมทุนช่วยผู้ประสบภัย เป็นใบเบิกทางที่ประกันว่าฉันมาดี ไม่ได้มีเลศนัยใดๆแอบแฝง และสังเกตเห็นว่า มีคนมาถ่ายรูปฉันเป็นระยะๆ ในใจแอบคิดว่า...คงได้ขึ้นแบล็คลิสต์ของรัฐบาลทหารพม่าเป็นแน่

อาหารและสถานที่ถูกจัดเตรียมอย่างง่ายๆ กลางป่าโปร่ง ทหารเคี้ยวหมาก แบกปืนยืนคุมเชิงเป็นจุด ๆ ไป งานศพเป็นเหมือนช่วงเวลาที่จะทำให้พี่น้องญาติมิตรได้มาเจอกัน  ผู้คนต่างวัยจับกลุ่มพูดคุยกันอยู่ทั่วงาน ฉันแอบยิ้มให้กับเสียงหัวเราะไร้เดียงสากับแววตาใสของเด็ก ๆ  พวกเขาคงไม่ต้องรับรู้ว่าโลกของอำนาจข้างนอกนั้นร้ายกาจเพียงใด  ฉันดีใจที่ได้เห็นเขามีความสุขกันบ้าง แม้จะเป็นเวลาเพียงน้อยนิด ตลอดวันนั้น ฉันได้พูดคุยกับเพื่อนใหม่มากมายหลายคน นอกจากการต่อสู้และวีรกรรมของพวกเขาแล้ว เพื่อนร่วมทางของฉันบอกว่าเขาไม่ได้เจอเพื่อนเก่าเหล่านี้มากว่าสิบปี ฉันดีใจมากที่ได้มาร่วมรับรู้ถึงความรู้สึกของพวกเขา และยิ่งทำให้ฉันตระหนักมากขึ้นไปอีกว่า เขาก็เป็นคนเหมือนกับเรา..

ในที่สุดเราได้พบหมอซินเทีย ใบหน้าสงบงามของหมอท่ามกลางแดดบ่ายอันแผดเผา ช่วยทำให้ฉันมีพลังได้อย่างประหลาด ฉันได้รับการบอกเล่าว่าหมอเป็นนักศึกษาแพทย์ที่หนีออกมาจากพม่าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2531 ที่มีการลุกขึ้นต่อต้านเผด็จการของนักศึกษา หมอและเพื่อนได้มาเปิดคลินิกที่แม่ตาวที่รักษาคนไม่เลือกว่าเป็นชาติหรือศาสนาใด จนได้รับการยอมรับจากทั้งทางรัฐบาลไทยและต่างประเทศ หมอได้รับรางวัลแมกไซไซ ด้วยความดีและความเป็นมนุษย์ที่แท้ของหมอ

คุณหมอยินดีที่จะร่วมงานกับทีมของเรา ซึ่งหมอบอกว่าช่วงนี้ที่คลินิกยังไม่มีปัญหาในเรื่องงบประมาณ แต่ความต้องการเฉพาะหน้าคือความรู้ในการฟื้นฟูจิตใจของผู้ประสบภัยที่เริ่มอพยพหนีตายออกมากันเรื่อย ๆ คุณหมอจะนัดประชุมทีมในวันรุ่งขึ้นซึ่งเราสามารถเข้าร่วมประชุมกับทีมของหมอได้ ฉันโล่งใจไปหนึ่งเปลาะ เพราะอย่างน้อยเงินน้อยนิดของเราจะสามารถกระจายไปให้กับองค์กรที่ทำงานช่วยเหลือใต้ดินในพม่าอื่น ๆที่ยังไม่มีชื่อเสียงได้ด้วย

ตอนเย็นเราข้ามฟากแม่น้ำเมยกลับมาด้วยความเบิกบานใจ รุ่งขึ้นอีกวัน ฉันรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว เพราะแรงกระแทกกับรถกระบะมาตลอดคืน  เราไปถึงแม่ตาวคลินิกในตอนเกือบเที่ยง เพื่อนร่วมทางของฉันบอกว่าสภาพคลินิกแออัดกว่าปกติ ผู้คนเดินเข้าเดินออกกันตลอดเวลา ภาพชายหนุ่มนุ่งโสร่งกับใบหน้าคล้ำคมคายที่มีแป้งสีเหลืองปะอยู่ตามใบหน้า เริ่มชินตาฉันมากขึ้นเรื่อยๆ  ฉันได้รับการเชื้อเชิญอย่างสุภาพ ให้เข้าไปในห้องประชุม ที่ให้การต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น แม้ใบหน้าเหล่านั้นจะปนเปื้อนไปด้วยความอ่อนล้า...

“มีจุดตรวจของทหารอยู่แทบทุกไมล์ ถ้าเราขนของไปมาก ๆ ก็จะถูกยึด แล้วพวกเขาก็จะบอกเราว่า เขาจะเอาไปแจกเอง เราต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะให้พวกทหารพม่าไปตลอดทาง จะมีคนมายืนรอรับของอยู่ข้างถนน เขาไม่มีบ้าน ไม่มีที่กำบังฝน มีทั้งเด็กและคนท้อง”

พี่ ๆ บอกเล่าเรื่องราวข้างในให้พวกเราฟัง ฉันพยายามขบคิดว่าสองมือของฉันจะทำอะไรได้บ้าง

“พวกเราไว้ใจรัฐบาลทหารพม่าไม่ได้ ถึงแม้พวกเขาจะให้คำสัญญาว่าจะรับความช่วยเหลือจากต่างประเทศ ก็ไม่ได้หมายความว่าเงินเหล่านั้นจะไม่เข้ากระเป๋าพวกเขาเอง คนที่สูญเสียทุกอย่างจะข้ามมาฝั่งไทยมากขึ้น แต่การข้ามมาฝั่งไทยไม่ใช่การแก้ปัญหา เราต้องเปลี่ยนแปลงจากในพม่าให้ได้” เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งของเคเอ็นยูบอกกับฉัน

การเดินทางจากแม่สอดของฉันจบลงบนรถทัวร์มุ่งหน้าสู่เชียงใหม่ ฟ้ายังครึ้มดำไปด้วยเมฆหม่น ปรอยฝนยังคงโปรยปรายมาเป็นระยะ ฉันหวังว่าพรุ่งนี้-คงจะมีฟ้าสีทองของวันใหม่ สาดส่องมาให้ผืนแผ่นดินและผู้คนอีกครั้ง

..........................

สามเดือนมาแล้วสินะ  ฉันและเพื่อนๆ ทางนี้ยังพบปะร่วมกิจกรรมกันอยู่เป็นระยะ ๆ แต่ข่าวคราวตามหน้าสื่อต่างๆ เริ่มน้อยลงจนแทบไม่เหลือเลย  ฉันแทบไม่รู้ว่าเพื่อนๆ ทางโน้นจะเป็นอย่างไรบ้าง  ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะดีขึ้น และจะช่วยอะไรพวกเขาได้มากกว่านี้  จนกระทั่งเมื่อปลายเดือนสิงหาคม ฉันได้ข่าวขอความช่วยเหลือจากหน่วยแพทย์อาสาสมัครเคลื่อนที่ในพื้นที่ประสบภัยนาร์กิสว่าต้องการเงินค่าผ่าตัดคนไข้ที่พึ่งคลอดลูกด่วน คิดเป็นเงินไทยประมาณ 13,000 บาท เนื่องจากความช่วยเหลือเฉพาะรายบุคคลในลักษณะนี้ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขของกลุ่มเรา ฉันจึงลังเลที่จะขอเงินบริจาคของทางกลุ่มมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์นี้ แต่เพราะทุกชีวิตมีค่าและไม่อาจรอการเรียกประชุมเพื่อตัดสินใจใช้เงินกองทุน สิ่งที่ฉันทำได้จากสองมือ คือ การเขียนอีเมล์ไปบอกเล่าเรื่องราวและขอความช่วยเหลือจากเพื่อนพ้องโดยไม่ได้หวังอะไรมากมาย แต่ปรากฏว่า เพียงแค่วันรุ่งขึ้นยอดบริจาคกลับทะลุเป้าเกินกว่าที่ขอไปซะอีก !

ความรู้สึกที่ยากจะบรรยายของฉันได้แต่ส่งผ่านไปกับข้อความขอบคุณพี่น้องเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า  การได้เห็นน้ำใจอันงดงามของผู้คนตลอดการทำงานที่ผ่านมายิ่งทำให้ตัวฉันได้รับพลังชีวิตที่จะดำรงอยู่อย่างมีคุณค่าและความหมายมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม  ถึงแม้การมีสถานะนักศึกษาของฉันเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่งที่ฉันไม่ได้ทำงานเพื่อกลุ่มหรือองค์กรไหน  แต่การทำงานด้วยหัวใจล้วนๆ ก็ยากที่ใครจะเข้าใจได้  จะมีใครเชื่อว่าฉันไม่ต้องการอะไรนอกจากอยากเห็นสังคมดีขึ้น  เท่าที่รู้ก็มีคนไทยไม่กี่คนที่ทำงานเกี่ยวกับประเด็นพม่า  ยิ่งเป็นองค์กรของคนพม่าด้วยแล้ว  ก็ยากที่จะเปิดโอกาสให้คนไทยเข้าไปทำงานได้  ฉันพยายามทำความเข้าใจว่าการจะสร้างความเชื่อถือไว้วางใจในระระยะเวลาอันสั้นคงเป็นไปไม่ได้กับผู้คนที่ผ่านประวัติศาสตร์และความทรงจำอันขมขื่นยาวนาน

เราจะไปเข้าใจเขาได้อย่างไรถ้าเราไม่ได้ตกอยู่สถานการณ์อย่างนั้น เราจะไปเข้าใจเขาได้อย่างไรเมื่อ บ้านของเราไม่ได้ถูกเผา  ญาติของเราไม่ได้ถูกฆ่าตายหรือข่มขืน  เราอยู่ไม่ได้แม้แต่ในประเทศของตัวเอง  ฉันก็ได้แต่หวังว่าวันเวลาจะทำให้สถานการณ์และความเจ็บปวดบอบช้ำของผู้คนได้รับการเยียวยา และความหวังใหม่ของฉันในวันนี้คือคนหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เติบโตมาบนความหลากหลาย  พวกเขาจะต้องได้เรียนรู้ถึงความแตกต่าง ตลอดจนคุณค่าและความหมายของชีวิต และข้ามผ่านอดีตเพื่อมุ่งไปสู่อนาคตที่สันติของสังคมร่วมกัน

 

และวันหนึ่งฉันจะไปประเทศพม่าที่มีแต่ความสุขและสันติภาพ...กับเพื่อนพม่าของฉัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น