วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

I am David - เด็กผู้ชาย หัวใจไม่ยอมแพ้

โดย หมอกเต่หว่า



บางคนอาจโชคดีที่เกิดมาแล้วได้สัมผัสกับอิสรภาพ ความเป็นธรรมและความถูกต้องในฐานะที่เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่พึงจะได้รับ แต่ยังมีคนอีกหลายล้านคนในโลกนี้ที่เกิดมาไม่มีแม้แต่ศักดิ์ศรีของความเป็นคน อิสรภาพอาจเป็นเพียงแค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ สำหรับพวกเขา

ภาพยนตร์เรื่อง I am David (เด็กชายหัวใจไม่ยอมแพ้) อาจบอกผ่านความรู้สึกเหล่านั้นให้คุณได้สะเทือนใจอีกครั้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย Paul Feig ผู้กำกับชื่อดังอีกคนหนึ่งของฮอลลีวู้ด เรื่องราวของเด็กผู้ชายวัย 12 ที่ชื่อเดวิด แสดงโดย เบน ทิบเบอร์ ที่พอจำความได้ก็อยู่แต่ในค่ายผู้ใช้แรงงานของทหารคอมมิวนิสต์แห่งหนึ่งในประเทศบัลแกเรียใน ค.ศ.1952 ที่ ๆ มีแต่ความโหดร้ายทารุณ เขาได้เห็นประชาชนที่ไม่เห็นด้วยกับทหารถูกจับกุมและนำมาใช้แรงงานที่ค่ายแห่งนี้เป็นจำนวนมาก

เดวิดไม่รู้ว่าตัวเองนั้นมาจากไหน และไม่รู้ว่าครอบครัวของตัวเองเป็นใคร  แต่ทุกครั้งที่เขาหลับตาเขามักจะเห็นแต่ใบหน้าราง ๆ ของผู้หญิงคนหนึ่งที่เขาเชื่อว่าเป็นแม่ของเขา แต่เดวิดไม่เคยแม้แต่จะสัมผัสกับโลกภายนอก และไม่เคยแม้แต่จะหัวเราะออกมาด้วยซ้ำ ที่ค่ายแห่งนี้ดูเหมือนจะมีเพียงโจฮันเนส(จิม คาวีเซล) เพียงคนเดียวที่เป็นทั้งพ่อและเพื่อนคอยช่วยเหลือเขาตลอดมา เช่นเดียวกับผู้คุมทหารอีกคนหนึ่งที่คอยช่วยเหลือเดวิดอย่างลับๆ ด้วยเช่นกัน แต่แล้ววันหนึ่งเหตุการณ์เกิดพลิกผัน เมื่อเดวิดได้ขโมยสบู่ก้อนในห้องของทหาร เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้โจฮันเนสต้องถูกยิงตายเพราะเขาสารภาพรับผิดแทนเดวิด

ไม่นานนักผู้คุมทหารที่คอยช่วยเหลือเขาอย่างลับๆ ได้เรียกร้องให้เดวิดหนีออกจากค่ายไปเดนมาร์กให้ได้พร้อมๆ กับจดหมายลับฉบับหนึ่ง โดยเขาได้รับคำแนะนำว่า ห้ามไว้ใจใครทั้งนั้น

การผจญภัยของเดวิดได้เริ่มขึ้นเมื่อเขาหนีออกจากค่ายในกลางดึกคืนหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังชายแดนประเทศกรีซที่แสนอันตราย ก่อนที่จะลักลอบเข้าไปในเรือสินค้า ที่มุ่งหน้าสู่อิตาลี ในฉากนี้เดวิดถูกลอยแพในทะเลใกล้กับชายฝั่งประเทศอิตาลี เพราะกะลาสีคนหนึ่งในเรือไม่อยากให้ใครเห็นเดวิดเวลาที่เรือจอดเทียบท่าแล้ว ฉากที่เด็กชายวัยเพียง 12 ขวบพยายามว่ายน้ำเข้าหาฝั่งสื่อถึงคนที่ไร้จุดหมายปลายทาง ออกมาได้อย่างกินใจจริงๆ แต่เพราะความพยามยามและความกล้าของเขาจึงทำให้เขาเดินทางมาถึงอิตาลีในที่สุด

จากการสูญเสียอิสรภาพมายาวนานในค่ายใช้แรงงานทหารทำให้การใช้ชีวิตที่แสนปกติธรรมดาของคนในประเทศสงบสุข อย่างอิตาลีกลับเป็นสิ่งแปลกใหม่และยากเกินกว่าที่เดวิดจะเข้าใจ เช่น เขาไม่เข้าใจว่าเงินคืออะไรและควรยิ้มยังไงด้วยซ้ำ  รวมถึงเขายังผวาหวาดกลัวเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบจะจับตัวเขาส่งกลับบัลแกเรีย โลกใบใหม่สำหรับเดวิดจึงเต็มไปด้วยความน่ากลัวและไม่สามารถไว้ใจใครได้

ต่อมาเดวิดได้ช่วยชีวิตเด็กผู้หญิงที่ชื่อ มาเรีย ลูกสาวของครอบครัวเศรษฐีครอบครัวหนึ่งในอิตาลี  เขาได้รับการดูแลอย่างดีจากครอบครัวนี้ เดวิดแทบจะไม่เคยเล่าย้อนถึงชีวิตอันเลวร้ายในอดีตให้ใครฟังมาก่อน แต่มีอยู่ฉากหนึ่งที่แสดงถึงความอัดอั้นตันใจของเขา บอกผ่านมาเรียตามประสาเด็กว่า

"มีคนมากมายที่ฉันไม่ชอบ เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยคนน่ากลัว พวกนั้นทำสิ่งที่น่ากลัวและชั่วร้าย ฉันเห็นมาแล้ว"

และดูเหมือนว่าความปรารถนาดีต่างๆจากครอบครัวของมาเรียกลับยิ่งทำให้เดวิดกลัวและไม่กล้าเปิดใจมากขึ้นเด็กชายตัวน้อยจึงออกเดินทางอีกครั้งพร้อมกับเป้เก่าๆ และแววตาเศร้าสร้อย

แต่แล้วการเดินทางของเขาดูจะไม่ราบรื่นเท่าใดนัก เมื่อต้องตกอยู่ในเหตุการณ์ การปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่และกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ออกมาประท้วง เดวิดถูกจับเพราะเจ้าหน้าที่เข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นหนึ่งในผู้ประท้วงด้วย ในระหว่างที่เขากำลังถูกจับกุมอยู่ในรถนี่เอง เขาตัดสินใจเปิดจดหมายลับที่ได้รับมอบหมายให้ไปส่งในเดนมาร์ก แต่แล้วกลับทำให้เขาประหลาดใจ มากยิ่งขึ้น เพราะจดหมายลับที่ว่านี้ แท้จริงแล้ว คือบัตรประจำตัวและข้อมูลหลักฐานของตัวเขานั่นเอง หลังจากนั้นเขาหลบหนีจากการจับกุมได้สำเร็จ

ต่อมา เดวิดได้พบกับโซฟี (โจแอน โพลไรท์)หญิงสูงวัยที่เป็นทั้งศิลปินวาดรูปและเป็นผู้ที่ไขกุญแจเรื่องราวชีวิตของเดวิดให้คลี่คลายในเวลาต่อมา เดวิดได้เดินทางไปอยู่กับโซฟีที่สวิตเซอร์แลนด์ โซฟีได้สอนให้เดวิดรู้ว่า แท้จริงแล้วในโลกนี้ยังคงมีคนดีๆ อยู่มาก โดยมีฉากที่เดวิดกลั้นใจทักทายกับเจ้าหน้าที่คนหนึ่งในโบสถ์ และสิ่งที่เขาได้รับกลับมาก็คือรอยยิ้มและมิตรภาพ จนทำให้โลกอันน่ากลัวของเดวิดค่อยๆ จางหายไป

แต่เรื่องราวไม่ได้จบอยู่เพียงแค่นั้น เดวิดได้ค้นพบว่า แม่ของเขายังมีชีวิตและอยู่ที่เดนมาร์ก และเหตุผลที่เขาต้องอยู่ในค่ายใช้แรงงานก็เป็นเพราะว่า พ่อและแม่ของเขาได้รณรงค์ให้คนในบัลแกเรียต่อต้าน ระบอบคอมมิวนิสต์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ภายหลังพ่อแม่รวมทั้งตัวเดวิด ถูกทหารบัลแกเรียจับตัว พ่อของเขาถูกฆ่าตาย แต่แม่หนีรอดไปได้เพราะได้รับความช่วยเหลือจากผู้คุมคนเดียวกันกับที่ช่วยเหลือเดวิด แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แม่ของเขาเข้าใจผิดมาตลอดว่าเดวิดได้เสียชีวิตแล้ว และปริศนาที่ว่า เขาต้องนำจดหมายลับ ไปส่งยังเดนมาร์กก็เป็นเพราะว่าแม่ของเขาอยู่ที่เดนมาร์กนั่นเอง

ฉากสุดท้ายที่เดวิดหวนกลับคืนอ้อมอก แม่พร้อมกับเพลงประกอบที่ซาบซึ้งบาดใจผู้ชมจนทำให้หลายคนน้ำตาไหลพรากเพราะความดีใจอยู่ลึกๆ อาจกล่าวได้ว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังดีอีกเรื่องหนึ่งที่ผู้ชมไม่ควรพลาด แม้การเดินเรื่องจะเป็นไปแบบนิ่งๆ เศร้าๆ ว้าเหว่และไม่หวือหวานัก แต่บทสรุปตอนท้ายของเรื่องกลับเข้มข้นและตัวละครอย่างเดวิดได้ค้นพบตัวเองและมีความสุขในโลกใบใหม่ อีกทั้งฉาก แสง สี เสียงในเรื่องนี้คงประทับใจใครหลายคน จนยากจะลืม  เรื่องราวของเดวิดนับเป็นภาพสะท้อน ความรู้สึกของคนที่ถูกกักขังเสรีภาพได้เป็นอย่างดี แต่ในโลกแห่งความจริง

จะมีสักกี่คนที่มีชีวิตจบแบบแฮปปี้เอนดิ้งเหมือนเดวิด โดยเฉพาะกับนักโทษการเมืองในพม่าที่ส่วนใหญ่จะเสียชีวิตจากการถูกทรมานร่างกาย ภาวะขาดสารอาหารและโรคภัยไข้เจ็บก่อนจะได้รับเสรีภาพ คนที่รอดชีวิตออกมาได้ทันสัมผัสเสรีภาพก็ต้องมีชีวิตอยู่กับฝันร้ายในอดีตที่ยากจะลืมเลือนและการถูกเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดจากเจ้าหน้าที่รัฐไปตลอดชีวิต

พวกเขาจะไม่มีวันได้สัมผัสความหอมหวานของเสรีภาพอย่างเต็มที่จนกว่าผู้นำประเทศพม่าจะมองประชาชนผู้ต้องการสิทธิเสรีภาพเป็นมิตร ไม่ใช่ศัตรูเหมือนเช่นที่ผ่านมา.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น