วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

ตะลุยอินทร์แขวนแบบบ้านๆ

โดย นานาตี

ถ้าจะพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวของพม่าเพื่อนบ้านเราแล้วล่ะก็ "พระธาตุอินทร์แขวน" หรือ "ไจ้ก์ทีโย" ในภาษามอญ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดฮิตก็ว่าได้ ภาพความมหัศจรรย์ของก้อนหินสีทองอร่ามขนาดยักษ์ที่แขวนอยู่บนขอบเหวได้อย่างน่าฉงนมีให้เห็นในโบรชัวร์ท่องเที่ยวอยู่เสมอ เรื่องราวการเดินทางที่กำลังจะเล่าต่อไปนี้อาจแตกต่างจากเรื่องเล่าของใครหลายคน ทั้งที่เป็นนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์ และแบกเป้ เพราะเราครั้งนี้เราจะไปที่แบบชาวบ้านหรือคนท้องถิ่นเขาไปกัน เอ้า..เกาะแน่นๆ รถกำลังจะออกแล้วค่ะ



 



กรุงย่างกุ้ง เวลาสามทุ่ม"มิงกลาบา...คิมยา ยา ยา ยา ยา ยา…" (สวัสดีครับครับ ครับ ครับ...) บัสโฮสเตจหนุ่มในชุดโสร่งคีบแตะ หยิบไมค์โครโฟนแบบเปิดเอ๊กโค่เต็มพิกัด ขึ้นมากล่าวทักทายผู้โดยสารบนรสบัสเที่ยวสามทุ่ม เขาอธิบายเส้นทางและอะไรต่อมิอะไรยาวเหยียดนานเกือบสิบนาทียังไม่ยอมปล่อยไมค์ ในขณะที่รถบัสวิ่งวนไปเวียนมาในเมืองย่างกุ้งเพื่อรับผู้โดยสารตามจุดต่างๆอยู่หนึ่งชั่วโมงเต็มๆ ก่อนจะมุ่งหน้าสู่เมืองไจ้ก์โถ่ในรัฐมอญ

 

ตามกำหนดการณ์จากคนขายตั๋วรถ เราจะไปถึงประมาณตี 4 ซึ่งจะมีเวลากินข้าวและทำธุระโน่นนี่ก่อนที่จะไปต่อรถโดยสารขึ้นไปบนพระธาตุตอน 6 โมงเช้า การนอนหลับบนรถจึงเป็นทางเดียวที่จะทำให้เรามีแรงในวันพรุ่งนี้

 

แต่หลังจากเคลิ้มหลับไปได้ไม่กี่ชั่วโมง เสียงสวดมนต์ภาษาบาลีสไตล์พม่ าสูงๆ ต่ำๆ เหมือนทำนองเพลงอินเดียก็ดังขึ้นท่ ามกลางความมืด ไฟทุกดวงในรถบัสถูกเปิดสว่ างจ้า(อารมณ์ประมาณรถทัวร์ไปกรุงเทพที่ เปิดเพลงเปิดไฟปลุกผู้โดยสารก่อนถึงหมอชิต) ก่อนที่รถจะจอดอยู่หน้าร้านอาหารร้านหนึ่งในบรรดาหลายร้านที่เรียงรายกันเป็นแถวอยู่ในความมืด ดูเวลานี่มันเพิ่งจะตี 2 เอง คนขับรถบอกว่า "ถึงแล้ว" ขณะที่ผู้โดยสารคนอื่นๆ หยิบข้าวของสัมภาระลงจากรถกันพัลวันแล้วเดินเข้าไปในร้านอาหารที่ชื่อ “ก๊องซัน” เราก็เดินตามเขาไปทั้งๆ ที่ยังง่วงและงงๆ

 

ด้านหน้าร้านก็เหมือนร้านอาหารตามสั่งทั่วไป มีโต๊ะนั่งกินข้าวอยู่ 6 – 7 โต๊ะ แต่เมื่อเดินเข้าไปหลังร้านจะกลายเป็นลานไม้ยกสูงระดับเอว แบ่งเป็นลานสองฟากซ้ายขวาโดยมีทางเดินตรงกลาง พอมาถึงแต่ละคนไม่พูดพร่ำทำเพลงหยิบหมอนผ้าห่มขึ้นมากางและล้มตัวลงนอนเรียงกันเต็มลาน คนที่ไม่ได้เตรียมเครื่องนอนมาด้วยที่ร้านมีให้เช่าหมอนผ้าห่ม ราคาอย่างละ 100 – 200 จั๊ต(3-6 บาท) ส่วนค่าที่นอนด้วยอีกคนละไม่ถึง500 จั๊ต (16 บาท) ถ้าเป็นโรงแรมสำหรับนักท่องเที่ยวแถวนี้แล้วต้องเสียเงินถึง 50 ดอลลาร์ (1,500 บาท) เป็นอย่างต่ำ

 

หลังจากทุกคนเข้านอนเรียบร้อย เสียงอื้ออึงของเครื่องปั่นไฟในร้านก็เงียบลง ทุกอย่างมืดสนิท

 

ยังไม่ ทันจะเช้า เสียงเครื่ องปั่ นไฟดังกระหึ่ มขึ้นมาอีกครั้งในเวลาตี 4 ถึงจะเป็นเสียงที่น่ารำคาญมากในตอนเช้ามืดอย่างนี้ แต่สำหรับคนที่นี่ (รวมถึงคนค่อนประเทศ) เขาชินกันแล้ว เพราะไฟฟ้าในประเทศ รัฐบาลขายให้เพื่อนบ้านหมดประชาชนต้องมาปั่ นไฟใช้เอง ตอนนี้แต่ ละคนลุกขึ้นมาเก็บที่หลับที่นอน ถือขันน้ำกับแปรงสีฟันและพาดผ้าเช็ดตัวไว้บนบ่าเดินไปห้องน้ำของร้านที่อยู่หลังร้านซึ่งแบ่งเป็นส่วนๆ ส่วนแรกคือห้องอาบน้ำที่เตรียมพร้อมเปิดน้ำไว้เต็มอ่างน้ำคอนกรีต ส่วนที่สองเป็นห้องเล็กๆ แยกออกมาอยู่ตรงข้ามห้องอาบน้ำ ในห้องค่อนข้างมืดเพราะไม่มีไฟ แต่แสงไฟบริเวณห้องนอนที่เล็ดลอดเข้ามาเล็กน้อยทำให้พอมองเห็นอิฐสองก้อนที่ วางไว้บนพื้นเรียบๆ สำหรับเป็นที่เหยียบสำหรับทำธุระ ไม่มีโถหรือหลุมใดๆรองรับ หน้าห้องมีป้ายที่เขียนด้วยลายมือขยุกขยิกว่า “ปัสสาวะเท่านั้น ปลดทุกข์หนัก เชิญชั้นบน” ด้วยความมืดมองอะไรแทบไม่เห็นทำให้เหยียบไม่โดนอิฐแต่พลาดไปเหยียบช่องว่างระหว่างอิฐสองก้อนนั้นเข้าให้อย่างจัง จึงรู้ทันว่ามีคนที่ฝ่าฝืนป้ายหน้าห้อง ไม่ยอมขึ้นไปชั้นบน ... เพียบ!!!!! ที่ง่วงๆ อยู่ก็เลยตาสว่างขึ้นมาในทันที

 

เสียงเคาะกระทะก๊องๆ แก๊งๆ หน้าร้านสลับกับเสียงตะโกนสั่งอาหารแข่งกับเสียงเครื่องปั่นไฟดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่กลิ่นหอมๆ ของอาหารเช้าลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ลุงป้าน้าอาลูกเล็กเด็กแดงประแป้งทะนาคาแต่งตัวกันสวยเช้ง คุณแม่บ้านบางคนเหลืองอร่ามไปด้วยทอง ทั้งคอ ทั้งแขน จัดเต็มสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ

 

เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว เราก็เดินไปขึ้นรถที่สถานีซึ่งอยู่ ไม่ ไกลจากร้านอาหาร รถหกล้อจอดรอผู้โดยสารเต็มไปหมด เราสามารถเลือกคันไหนก็ได้ตามใจชอบ ส่ วนคันไหนจะออกก่อนหลังแล้วแต่จำนวนผู้โดยสาร เมื่อไหร่ก็ตามที่แผ่นไม้ที่พาดขวางเป็นที่นั่งบนรถถูกจับจองเต็มจนแน่นเอี้ยดไม่สามารถเบียดกันได้แล้วนั่นแหละ ถึงจะออกรถได้ เราได้นั่งแถวหลังสุดซึ่งข้อดีของมันก็คือ ไม่ต้องมีใครมาเบียดด้านหลังให้อึดอัด แต่เสียตรงที่เป็นจุดที่หวาดเสียวและอันตรายที่สุดก็ว่าได้

 

คนที่นี่ส่วนใหญ่ยกโขยงกันมาเป็นครอบครัว ทั้งพ่อแม่ลูก ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายายมากันหมดบ้าน จะมีบ้างที่มาฮันนีมูนกันเป็นคู่ๆ เหมือนหนุ่มสาวที่นั่งแถวหลังติดกับเรา เมื่อคนขึ้นอัดแน่นเต็มลำจนไม่มีที่ว่าง ชนิดที่ว่าคนข้างหน้าแทบจะนั่งตักคนที่นั่งอยู่แถวหลัง แต่ละคนนั่งนิ่งเพราะขยับแข้งขาไม่ได้

 

รถออกจากสถานีและไต่ขึ้นเขาที่คดเคี้ยว เวลานี้ต่างคนต่างพยายามทรงตัวให้ได้ตอนที่รถเร่งเครื่องขึ้นเนินจนเหวี่ยงไปมาอย่างน่าหวาดเสียวอย่างกับนั่งรถไฟเหาะ แต่นี่ยิ่งกว่าเพราะไม่มีเข็มขัดนิรภัย มองลงไปด้านล่างมีแต่เหว อาศัยคนที่เบียดกันอยู่เป็นตัวยึดเหนี่ยวไม่ให้กระดอนตกลงไปก้นเหว จำได้ว่าครั้งที่แล้วที่มาที่นี่ เพื่อนร่วมทางหลายคนพากันเคืองคนขับที่ไล่นักท่องเที่ยวลงกลางทางแล้วให้เดินต่อเอง แต่ตอนนี้บอกได้เลยว่า ถ้าเป็นไปได้อยากจะลงมันซะตรงนี้ เพราะอยู่บนรถทรมานเหลือเกิน ทั้งเมื่อย ทั้งเวียนหัว ทั้งหวาดเสียว ยังไงก็แล้วแต่รถของเราก็ไปถึงหน้าประตูพระธาตุโดยสวัสดิภาพและที่สำคัญไม่มีใครอาเจียน

 

บรรยากาศรอบบริเวณพระธาตุคึกคักตั้งแต่เช้า ผู้คนเดินกันขวักไขว่ ลูกหาบแบกตะกร้าสัมภาระโดยมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ นั่งอยู่ในตะกร้า บ้างก็นั่งล้อมวงทานข้าว บ้างก็เต๊ะท่าถ่ายรูป ทั้งรูปเดี่ยวและถ่ายกันเป็นครอบครัว ทั้งกลุ่มวัยรุ่นที่ถ่ายกันเอง และกระทั่งพระสงฆ์องค์เจ้าที่ถ่ายรูปให้ญาติโยมก็มี แต่ละคนพยายามหามุมที่มองเห็นองค์พระธาตุสีทองอร่ามเป็นพื้นหลัง เดินกันให้ควั่ก

 

เด็กชายตัวน้อยในชุดกะเหรี่ยงนั่งกราบพระธาตุสีทองอร่ามที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่บนหน้าผา กลุ่มผู้ชายนับสิบกำลังขึ้นไปปิดทองบนองค์พระธาตุ ส่วนผู้หญิงห้ามเข้าต้องนั่งกราบกันอยู่รอบๆ หนุ่มสาวนั่งจู๋จี๋กันกระหนุงกระหนิงอยู่บนขั้นบันได

 

แต่ ท่ ามกลางความเคลื่ อนไหวที่ รายล้อม หลายคนกลับสงบนิ่ งอยู่ ในห้วงสมาธิ นักบวชผมยาวนั่งหลับตานับลูกประคำอยู่เงียบๆ แม่ชีชุดขาวนั่งท่องบทสวดมนต์เล่ มเล็กเสียงดังฟังชัด ทั้งนักบุญและชาวบ้านที่ นี่ เขาตั้งหน้าตั้งตาสวดมนต์กันอย่ างเอาจริงเอาจังมาก เราจะเห็นคนสวดมนต์เสียงดังๆ ได้ทั่ วไปตามศาสนสถานต่างๆ

 

แม่เฒ่าคนหนึ่งเดิมก้มๆ เงยๆ อยู่ ตรงลานด้านล่างองค์พระธาตุ กำลังเก็บอะไรบางอย่างที่ตกบนพื้นเข้าปาก พอเข้าไปถามปรากฎว่าเป็นเศษทองคำเปลวบนตัวพระธาตุที่ปลิวมาตามลม แม่เฒ่าหยิบใส่ปากแล้วบอกว่า "กินเป็นยา ดีต่อสุขภาพ" ไม่รู้ว่าแกกินไปแล้วมากน้อยขนาดไหน กลัวว่าแกจะท้องเสียซะก่อนโรคเดิมจะหาย

 

เวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงวัน เราขึ้นรถหกล้อพาเดินทางกลับไปยังสถานีด้านล่างซึ่งสวนทางกับชาวบ้านที่แบกเสลี่ยงหามนักท่องเที่ยว และผู้เฒ่าผู้แก่ที่ค่อยๆ ไต่เนินเขาท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยงโดยมีไม้ไผ่ช่วยพยุงตัว ไม่ว่าพวกเขาจะไปถึงยอดเขาด้วยวิธีใด แต่เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้วละก็ ความสวยงาม ความสงบนิ่ง และความมหัศจรรย์ที่อบอวลอยู่ในก้อนหินสีทองอร่ามซึ่งแขวนตัวเองหมิ่นเหม่อยู่บนหน้าผาสูงชันอย่างไม่สะทกสะท้าน คือสิ่งที่ทุกคนสามารถรับรู้และสัมผัสได้ไม่ต่างกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น