วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

Not one less เด็กหัวใจสู้และครูตัวน้อย

โดย หมอกเต่หว่า

Not_One_Less

เด็กคืออนาคตของชาติ แต่เด็กจะไม่มีอนาคตหากขาดการสนับสนุนจากผู้ใหญ่ 

หากพูดถึงหนังจีนที่ เป็นธรรมชาติ น่ารัก และสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมทั่วโลก เชื่อว่า Not one less (เด็กหัวใจสู้และครูตัวน้อย) ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2542 คงเป็นหนึ่งในนั้นNot one less เป็นผลงานการสร้างสรรค์ของผู้กำกับชื่อดังมากฝีมือจากแดนมังกร “จางอี้โหมว” ที่เขาเคยฝากผลงานคุณภาพมาแล้วหลายเรื่องเช่น Raise the Red Lantern Hero และ House of Flying Daggers ในขณะที่ Not one less เป็นหนังอีกหนึ่งเรื่องของจางอี้โหมวที่คว้ารางวัลจากเทศกาลหนังจากทั่วโลกเช่นรางวัลสิงโตทองคำจากเทศกาล Venice International Film Festival และรางวัล Jury Award จากเทศกาลหนัง Beijing Student Film Festival ในปีเดียวกัน รวมถึงรางวัลอื่นๆ อีกมากมายในปีต่อๆ มา

 

Not one less เป็นเรื่องราวของเด็กหญิงวัย 13 คนหนึ่งที่ต้องทำหน้าที่เป็นครูจำเป็นให้กับโรงเรียนในเขตชนบทกันดารของประเทศจีน ซึ่งแม้เธอจะเป็นเด็กหญิงตัวน้อยแต่ก็มีความมุ่งมั่นไม่แพ้ผู้ใหญ่ จนกลายเป็นที่มาของมิตรภาพ รอยยิ้มและเรื่องราวอันแสนประทับใจระหว่างครูตัวน้อยและลูกศิษย์ของเธอในเวลาต่อมา แม้นักแสดงในเรื่องจะเป็นนักแสดงสมัครเล่นทั้งหมดแต่การแสดงของพวกเขากลับสื่อออกมาอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุดไม่แพ้นักแสดงมืออาชีพ และถึงแม้หนังจะดำเนินไปแบบเรียบๆ ตรงไปตรงมา แต่กลับสะท้อนให้เห็นเรื่องจริงในมุมที่คนอาจไม่เคยเห็นและสะท้อนความแตกต่างระหว่างคนรวยในเมืองใหญ่และคนจนในเขตชนบทของประเทศจีนได้เป็นอย่างดี

 

เว่ยหมิงจือ (ซึ่งเป็นชื่อจริงของนักแสดง) เด็กสาวแสนซื่อวัย 13 ปี ถูกผู้ใหญ่บ้านพามาที่โรงเรียนประถมสุ่ยเฉวียนที่ดูภายนอกเหมือนจะไม่ใช่โรงเรียนเสียด้วยซ้ำ เพราะมีอาคารเรียนที่ เก่าและทรุดโทรมเพียงหลังเดียว โดยเว่ยหมิงจือต้องมารับหน้าที่สอนและอยู่ที่โรงเรียนนี้กับเด็กๆ แทนอาจารย์เกาอาจารย์เพียงคนเดียวของโรงเรียนแห่ งนี้เป็นเวลา 1 เดือนเนื่ องจากอาจารย์เกาต้องกลับไปดูแลแม่ ที่ ป่ วยหนัก โดยผู้ใหญ่ บ้านที่ พาเธอมาที่ โรงเรียนแห่ งนี้ได้ให้สัญญากับเว่ยหมิงจือว่า จะจ่ายเงินจำนวน 50 หยวนเป็นค่าตอบแทน โดยก่อนที่อาจารย์เกาจะเดินทางได้สั่งให้เว่ยหมิงจือใช้ชอล์กเพียงวันละหนึ่งแท่งเท่านั้น ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าโรงเรียนแห่งนี้ยากแค้นเพียงใด

 

แม้การรับหน้าที่เป็นครูที่ต้องดูแลเด็กคละชั้นถึง 28 คนดูจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กสาววัยเพียง 13 ปี แต่เพราะเงิน50 หยวน และคำสัญญาของอาจารย์เกาที่รับปากจะให้เงินเธอเพิ่มอีก 10 หยวน หากเว่ยหมิงจือสามารถดูแลเด็กนักเรียนให้ดีและไม่ให้นักเรียนหายไปแม้แต่คนเดียว ทำให้เว่ยหมิงจือมุ่งมั่นที่จะทำภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด แต่วันแรกของการเป็นครูของเว่ยหมิงจือแทบทำให้ผู้ใหญ่ บ้านต้องกุมขมับเพราะเธอปล่อยให้เด็กนักเรียนเล่นอยู่ กลางแดดเกือบทั้งวันโดยไม่ สนใจใยดีเด็ก เธอไม่ กล้าแม้แต่ จะแนะนำตัวเองต่อหน้าเด็กๆ ในขณะเดียวกันเธอต้องคอยปราบ จางฮุ้ยเคอ เด็กนักเรียนหัวโจกที่ ทั้งดื้อและซน คอยยั่วโมโหเธออยู่ตลอดเวลา หนำซ้ำลูกศิษย์คนนี้ยังแสดงออกชัดเจนว่าไม่ ยอมรับเว่ยหมิงจือในฐานะครู แต่ยอมรับเธอในฐานะพี่สาวที่แก่กว่าเขาไม่กี่ปีเท่านั้น

 

แม้เว่ยหมิงจือจะไม่มีความรู้ว่าจะจัดการกับเด็กๆ ยังไงแต่ทุกๆ วัน เว่ยหมิงจือก็ได้ทำตามที่อาจารย์เกาสั่งอย่างครบถ้วนทั้งการให้เด็กนักเรียนคัดบทเรียนลงในสมุด โดยที่ไม่สนใจว่าเด็กนักเรียนของเธอจะเข้าใจบทเรียนหรือไม่ และการดูแลไม่ให้เด็กนักเรียนหายไปแม้แต่คนเดียวแบบซื่อๆ ของเธอ เช่นการปิดประตูขังเด็กไว้ในห้องเรียน โดยที่เธอเป็นผู้นั่งเฝ้าอยู่ด้านนอกหรือแม้แต่การเอาเด็กนักเรียนหญิงคนหนึ่งไปซ่อนไว้ เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่มาพาเด็กนักเรียนคนนี้ไปเป็นนักกีฬาเยาวชนในเมืองเป็นต้น

 

แต่แล้ววันหนึ่ง ลูกศิษย์คู่ปรับของเธออย่างจางฮุ้ยเคอได้หายตัวไปจากชั้นเรียน ซึ่ งเป็นสิ่ งที่ เว่ ยหมิงจือยอมไม่ ได้เพราะได้รับปากกับอาจารย์เกาไว้แล้วว่าเธอจะไม่ให้เด็กหายไปแม้แต่คนเดียว เว่ยหมิงจือสืบทราบจนรู้ว่าจางฮุ้ยเคอนั้นเดินทางเข้าไปหางานทำในเมือง เพื่อหาเงินมารักษาแม่ที่ป่วยหนักและหาเงินมาใช้หนี้ เว่ยหมิงจือและเด็กๆ ที่เหลือจึงช่วยกันคิดหาค่ารถเข้าในเมือง ทั้งการไปขนอิฐในโรงงานแห่งหนึ่ง แต่เงินที่ได้ก็ยังไม่พอกับค่ารถทั้งขาไปและขากลับ ต่อมาเด็กๆ จึงวางแผนให้เว่ยหมิงจือแอบขึ้นรถไปแต่ก็ถูกจับได้ในที่สุด โชคร้ายกว่านั้นเด็กสาวยังถูกไล่ลงจากรถในระหว่างทาง ซึ่งหากเป็นเด็กสาวคนอื่นอาจจะร้องไห้กลับหมู่บ้านไปแล้ว แต่เว่ยหมิงจือกลับเดินมุ่งหน้าเข้าเมืองอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยและย่อท้อ จนท้ายสุดได้ติดรถชาวบ้านใจดีคนหนึ่งเข้าไปถึงในเมืองจนสำเร็จ

 

เว่ยหมิงจือได้ไปตามหาจางฮุ้ยเคอตามที่อยู่ที่แม่ของจางฮุ้ยเคอได้ให้ไว้ จนต่อมาเธอทราบว่าจางฮุ้ยเคอได้พลัดหลงกับเพื่อนที่สถานีรถไฟ แม้ว่าการตามหาจางฮุ้ยเคอในเมืองใหญ่อันแสนวุ่นวายจะไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร แต่เด็กสาวก็ไม่ล้มเลิกความตั้งใจและทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ตัวเด็กชายกลับไปเรียนหนังสือ ในอีกด้านหนึ่ง จางฮุ้ยเคอ เด็กชายชั้น ป.3 ต้องกลายเป็นเด็กชายเร่ร่อนหิวโหยไร้ที่พึ่ง ไม่มีแม้เงินจะเดินทางกลับบ้าน

 

หลายวันผ่านไป เว่ยหมิงจือก็ยังตามหาลูกศิษย์ไม่พบในขณะที่เริ่มไม่มีเงินติดตัวแล้ว จนในที่สุดมีชายคนหนึ่งแนะนำให้เธอไปขอความช่วยเหลือยังสถานีโทรทัศน์ แต่ทันทีที่ถึงสถานีโทรทัศน์เธอถูกปฏิเสธจากเจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าพบผู้อำนวยการสถานี แต่เด็กสาวใช่ว่าจะยอมแพ้ เธอได้ยืนอยู่ทางเข้าด้านหน้าสถานีโทรทัศน์แห่งนี้และคอยถามคนที่ผ่านไปมาว่าใช่ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์หรือเปล่า จนเธอได้พบกับผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์และได้ออกทีวีในที่สุด

 

“จางฮุ้ยเคอ เธอหายไปไหน ฉันหาเธอมาสามวันแล้วรู้มั้ยฉันเป็นห่วงมาก ทำไมเธอถึงไม่กลับ” นี่คือคำพูดของเว่ยหมิงจือที่บอกผ่านทีวีด้วยน้ำตานองหน้าแม้ดูเหมือนเด็กสาวคนนี้จะเห็นแก่เงิน 50 หยวนตามประสาเด็กในช่วงแรกๆ แต่ในตอนท้ายของเรื่องเราจะได้เห็นว่า การตามหาลูกศิษย์ให้กลับไปเรียนหนังสือโดยที่ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคของเว่ยหมิงจือนั้น แสดงให้เห็นว่า เธอมีจิตวิญญาณและจิตสำนึกของความเป็นครูอยู่ในตัวเต็มเปี่ยม การได้ออกทีวีของเว่ยหมิงจือนั้น ยังได้สร้างปรากฏการณ์ให้กับสังคมจีนได้กลับมาคิดทบทวนและตั้งคำถามถึงความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาระหว่างคนรวยในเมืองใหญ่และคนจนในชนบท และทำให้มีผู้ชมเป็นจำนวนมากยินดีที่จะช่วยตามหาจางฮุ้ยเคอจนทำให้เว่ยหมิงจือพบจางฮุ้ยเคอในตอนท้ายสุด

 

“ผมจะตั้งใจศึกษาเล่ าเรียนและซื้อของให้อาจารย์เยอะๆ เมื่ อผมโตขึ้น และผมจะไม่ ลืมที่ ต้องไปขออาหารคนอื่ นกิน ผมจะไม่ ลืม” นี่ คือสิ่ งที่ จางฮุ้ยเคอบอกกับนักข่ าวในระหว่ างที่ เดินทางกลับมายังหมู่ บ้านอย่ างปลอดภัยเด็กชายได้กลับมาเรียนหนังสือพร้อมกับเพื่ อนๆ อีกครั้งเรื่ องราวของเด็กทั้งสองได้ทำให้จางฮุ้ยเคอได้รับเงินบริจาคและได้นำไปปลดหนี้ให้กับครอบครัว นอกจากนี้ยังได้รับบริจาคเงินเพื่อซ่อมแซมอาคารเรียนและอุปกรณ์การเรียนต่างๆ จากคนในเมือง สิ่ งที่ สำคัญไปกว่ านั้น จางฮุ้ยเคอยอมรับในตัวเว่ยหมิงจือ ครูตัวน้อยในฐานะครูอย่างภาคภูมิใจ โดยหนังปิดตัวด้วยภาพของเด็กๆ ช่วยกันเลือกชอล์กหลากหลายสีสันเขียนคำที่ตัวเองต้องการจะเขียนลงบนกระดานอย่างมีความสุข

 

แต่การศึกษาและชีวิตของเด็กในพม่าอาจไม่จบแบบแฮปปีเอนดิ้งเหมือนในหนัง เด็กในพม่านอกจากจะขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนการสอนแล้ว ยังขาดแคลนบุคลากรครูที่มีคุณภาพอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีสาเหตุที่ รัฐบาลพม่าไม่สนับสนุนในด้านการศึกษาอย่างจริงจัง หนำซ้ำเด็กๆ ในประเทศนี้ต้องตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งและสงครามการเมืองที่มีมาต่อเนื่องกว่า 60 ปี ซึ่งไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดในเร็ววันนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น