วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

เซยา ตอว์ “ดนตรีอยู่ในสายเลือด ประชาธิปไตยอยู่ในใจ”

โดย หมอกเต่หว่า

“ผมปรารถนาจะบอกกับประชาชนให้กล้าปฏิเสธ สิ่งที่พวกเขาไม่ชอบ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่กล้าแสดงออกในการสนับสนุนสิ่งที่ถูกต้องก็ตาม และ อยากบอกพวกเขาว่า อย่าสนับสนุนในสิ่งที่ผิด”

นี่คือคำพูดสุดท้ายของเซยา ตอว์ ก่อนที่เขาจะถูกพิพากษาจำคุกเป็นเวลาเกือบ 4 ปี แต่ “คุก” ก็ไม่ได้ทำให้ศิลปินฮิปฮอปผู้นี้หยุดเดินบนถนนการสู้เพื่อประชาธิปไตย เช่นเดียวกับที่เขาไม่สามารถหยุดที่จะรักในเสียงดนตรี

[caption id="attachment_3423" align="alignleft" width="400" caption="photo http://www.facebook.com/pages/Free-Zay-Yar-Thaw/133091902383"][/caption]

เซยา ตอว์ วัย 30 ปี เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะนักร้องวง ‘Acid’ วงฮิปฮอป บอยแบนด์อันดับต้นๆ ของพม่า ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยสามหนุ่ม คือ เซยา ตอว์ ฮินซอ และ ยันยันชาน พวกเขาเป็นศิลปินรุ่นบุกเบิกของแนวดนตรีฮิปฮอปในพม่าเมื่อปี 2543 หลายคนเตือนเขาว่า การออกอัลบัมเพลงแนวฮิปฮอปอาจไม่ประสบความสำเร็จในช่วงที่อุตสาหกรรมเพลงพม่ากำลังซบเซาอย่างหนัก และแนวเพลงนี้ก็ยังไม่เป็นที่คุ้นเคยในหมู่นักฟังเพลงพม่า ทว่า พวกเขากลับพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นในสิ่งที่ตรงกันข้ามเมื่ออัลบัมเพลงชุดแรกฮิตติดชาร์ตอันดับหนึ่งตามคลื่นวิทยุนานถึง 2 เดือน ว่ากันว่า เนื้อเพลงที่ต้องการสื่อถึงความยากลำบากและสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในพม่า บวกกับจังหวะเร้าใจในแบบฮิปฮอปนั้นถูกใจแฟนๆ ทั่วประเทศจนผู้คนสามารถร้องเพลงของพวกเขาได้ทั่วบ้านทั่วเมือง แม้แต่ตั๋วคอนเสิร์ตก็ขายหมดเกลี้ยงในชั่วพริบตา

ก้าวแรกของเส้นทางดนตรีสำหรับเซยา ตอว์และเพื่อนจึงดูสดใสมองเห็นความ สำเร็จรออยู่ไม่ไกล นอกจากเป็นผู้บุกเบิกแนวเพลงฮิปฮอปในพม่าแล้ว พวกเขายังเป็น ผู้นำแฟชั่นสไตล์ฮิปฮอป หรือแม้กระทั่งศิลปะกราฟฟิตี(Graffiti) การพ่นสีสเปรย์ลงบนกำแพงในที่สาธารณะมาเผยแพร่ให้กับนักร้องฮิปฮอปรุ่นหลังๆ ด้วยเช่นกัน สิ่งที่โดดเด่นและทำให้วงดนตรีของเขาแตกต่างจากวงดนตรีอื่นๆ มากขึ้นไปอีกก็คือ เขาไม่ได้เป็นแค่นักดนตรีที่มุ่งแสวงหากำไรทางธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขามักจัดคอนเสิร์ตการกุศลหลายครั้ง อาทิ หาเงินช่วยเหลือเด็กกำพร้าที่ติดเชื้อเอชไอวีหรือหาเงินสนับสนุนการสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กกำพร้า เป็นต้น

“ผมอยากเป็นนักร้อง” นี่คือความฝันที่เป็นจริงของเซยา ตอว์ เขาให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Mizzima ว่า เขาหลงเสน่ห์ดนตรีฮิปฮอปตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น และเคยต้องเสียเงินซื้ออัลบัมแนวเพลงหลากหลายมาฟังโดยเฉพาะเพลงต่างประเทศ แม้จะไม่เข้าใจเนื้อร้องแต่เขาเล่าว่าชอบเพลงเหล่านั้นมาก ส่วนนักร้องที่เป็นเหมือนฮีโร่และแรงบันดาลใจให้กับเขาก็คือ ทูแพ็ก อมารู ชาเคอร์ (แร็ปเปอร์และนักเคลื่อนไหวทางสังคมชาวอเมริกัน)

นอกจากความเป็นนักดนตรีจะเริ่มซึมซับอยู่ในสายเลือดมาตั้งแต่วัยรุ่นแล้ว เขายังเป็นนักกิจกรรมตัวยงมาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ไฮสคูลด้วยเช่นกัน และจากการเป็นศิลปินที่ได้พบปะใกล้ชิดกับผู้คนมากมายหลากหลาย ได้เห็นความรู้สึกและความยากลำบากของประชาชนส่วนใหญ่ เขาจึงเริ่มหันมาเข้าร่วมเรียกร้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไปสู่ประชาธิปไตย

“ผมเข้าสู่ถนนการเมืองเพราะผมไม่สามารถยอมรับสิ่งที่ไม่ยุติธรรม ผมไม่ใช่คนว่าง่ายที่ยอมทำตามที่คนอื่นสั่ง” เซยา ตอว์กล่าว

ปี 2550 ในช่วงการประท้วงใหญ่ของพระสงฆ์ เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่ออกมาเรียกร้องให้เกิดประชาธิปไตยในพม่า นอกจากนี้เขาและเพื่อนอีกสามคน คือ อ่องเซโพ โมทวย และมินยานหน่าย ยังได้ร่วมกันก่อตั้งกลุ่ม Generation Wave ขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มที่ออกมาทำกิจกรรมให้วัยรุ่นในพม่าสนใจการเมืองและออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลพม่า เช่น การแต่งเพลง โจมตีรัฐบาล แจกใบปลิว หรือแม้แต่การพ่นสเปรย์ข้อความต่อต้านรัฐบาลในที่สาธารณะเป็นต้น ปัจจุบัน Generation Wave มีสมาชิกกว่า 70 คน ทั่วประเทศ แต่สมาชิกหลายคนที่ออก มาเคลื่อนไหวทางการเมืองก็ถูกจับขังคุกรวมทั้งเซยา ตอว์

เดือนมีนาคมปี 2551 อาชีพนักร้องของเซยา ตอว์ต้องสิ้นสุดลงเมื่อเขาและเพื่อนสมาชิก Generation Wave อีก 5 คนถูกจับกุมที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ทั้งหมดถูกนำตัวไปขังที่เรือนจำอินเส่งและถูกศาลสั่งจำคุกเป็นเวลา 6 ปี ในข้อหาก่อตั้งกลุ่ม Generation Wave โดยเซยา ตอว์ยังเจอข้อหาละเมิดกฎหมายครอบครองเงินต่างประเทศเพิ่มอีกหนึ่งข้อหา อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาเขาได้รับการลดโทษเหลือ 4 ปี และในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน เซยาตอว์ถูกส่งตัวไปอยู่ที่เรือนจำที่เมืองเกาะสองทางใต้สุดของประเทศ และที่นี่เขาได้พบกับนักโทษการเมืองคนอื่นๆ อีก 6 คนที่เผชิญชะตากรรมเดียวกัน

“ผมรู้ดีว่า หากคิดจะเดินเข้าสู่ถนนการต่อสู้ทางการเมืองในประเทศพม่าเมื่อไหร่ โอกาสที่อนาคตจะจบลงที่ห้องขังมีมากถึง 90เปอร์เซ็นต์ ซึ่งผมได้คิดเรื่องนี้ดีแล้ว ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจแต่กลับภูมิใจเสียด้วยซ้ำ ในคุกมีกฎและกติกาที่ทุกคนต้องปฏิบัติตาม ความยากลำบากอะไรก็ตามที่ผมต้องเผชิญในคุก ผมพยายามที่จะเอาชนะมันโดยการยึดมั่นในความเชื่อของผม ไม่ควรมีใครถูกจับขังคุกเพียงเพราะมีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง ความหลากหลายสามารถทำได้ด้วยการพูดคุยกัน แต่การจับคนขังคุกจะไม่ส่งผลดีต่อประเทศในตอนนี้หรือในอนาคต” นี่คือคำพูดบางส่วนที่เซยา ตอว์ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอิรวดีหลังได้รับการปล่อยตัวเพียงหนึ่งสัปดาห์

[caption id="attachment_3424" align="alignleft" width="426" caption="photo http://www.facebook.com/pages/Free-Zay-Yar-Thaw/133091902383"][/caption]

เซยา ตอว์ได้รับการปล่อยตัวเมื่อเดือนพฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมาพร้อมกับนักโทษการเมืองอีก 36 คน ตามนโยบายนิรโทษ-กรรมนักโทษทั่วประเทศของทางการพม่า แม้ว่านักร้องที่ประสบความสำเร็จถึงขีดสุดอย่างเซยา ตอว์จะต้องถูกจับไปเข้าคุกไร้เสรีภาพ แต่มันก็ไม่ได้ทำเขาท้อแท้สิ้นหวังหรือเปลี่ยนแปลงความเชื่อที่เคยมี และแม้ว่าชีวิตในคุกจะถูกตัดขาดจากเสียงดนตรีจากภายนอก แต่เขาก็ยังได้ยินเสียงดนตรีในหัวใจของตัวเองอยู่เสมอ

“เพราะผมเป็นนักโทษทางการเมือง ผมจึงอยู่ในเขตห้องขังพิเศษ พวกเราถูกห้ามดูทีวี แต่ผมก็ยังสามารถร้องเพลงที่ผมชอบได้เสมอ ช่วงที่อยู่ในคุกทำให้ผมได้ทบทวนว่าบทเพลงอันไหนที่ชอบจริงๆ และเพลงไหนที่ผมได้ใช้หัวใจเรียนรู้และเข้าใจจริงๆ” เขาให้สัมภาษณ์กับสำนัก ข่าว Mizzima เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม เซยา ตอว์ยืนยันว่าเขาจะยังคงก้าวเดินในเส้นทางการต่อสู้ทางการเมืองต่อไป เพราะเขาเชื่อว่าเส้นทางนี้คือเส้นทางที่ดี โดยเขายังหวังให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจการเมืองมากขึ้นบทเรียนจากการถูกกักขังทำให้เขาได้เรียนรู้คุณค่าในการใช้ชีวิตมากขึ้นด้วยเช่นกัน

เมื่อถูกถามว่ารู้สึกอย่างไรที่ได้รับการปล่อยตัวเซยา ตอว์กล่าว ว่า “ผมไม่สามารถมีความสุขได้ในขณะที่ยังมีนักโทษการเมืองถูกคุมขังอยู่ทั่วประเทศ ผมจะมีความสุขได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อนักโทษการเมืองทั้งหมดได้รับการปล่อยตัว ช่วงเวลากว่า 3 ปีที่อยู่ในคุก ผมได้ทบทวนเกี่ยวกับชีวิตและงานของผม และผมตระหนักมากขึ้นว่าเราควรต้องทำงานในส่วนการเมืองมากขึ้น เราไม่ควรแค่ให้เขา(รัฐบาลรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเราสามารถแสดงให้เขาเห็นว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องและควรปฏิบัติตาม นั่นจะทำให้ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ดีขึ้นด้วยเช่นกัน”

เมื่อถูกถามถึงอนาคตเส้นทางดนตรี เขาตอบกลับในเชิงตั้งคำถามว่า “ดนตรีอยู่ในสายเลือดของผม แต่คำถามก็คือ ผมจะสามารถแสดงต่อหน้าแฟนเพลงได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ผมจะยังคงสร้างสรรค์ผลงานดนตรีต่อไปอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นศิลปินหรือคนธรรมดาทั่วไป ผมให้สัญญาว่าจะทำงานเพื่อสิ่งที่ดีขึ้นสำหรับประชาชนและประเทศพม่าเท่าที่จะสามารถทำได้ ”

แม้จะบอกไม่ได้ว่า เส้นทางดนตรีของชายผู้นี้จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่สิ่งที่เห็นในวันนี้ก็คือ เซยา ตอว์ไม่ใช่แค่ศิลปิน แต่เขาเป็นนักต่อสู้ทางการเมืองที่พร้อมจะมอบจิตวิญญาณของเขาให้กับประชาชน พม่า และเขาอาจเป็นคนสำคัญที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนหนุ่มสาวในพม่าที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงอีกจำนวนมาก.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น