วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

อยู่ไม่(ยอม)ตายอย่างไทใหญ่

นิพัทธ์พร เพ็งแก้ว

บ้านเมืองไทใหญ่อุดมด้วยยาเถื่อน(ยาป่า)สารพัดสาเหตุหลักเห็นจะเป็นเพราะทางรัฐบาลพม่าไม่อาจจัดสรรระบบการแพทย์สมัยใหม่ไปได้ทั่วถึง ดังนั้นสรรพความรู้โบราณของคนในรัฐฉานจึงยังดำรงอยู่อย่างมั่นคงมั่งคั่ง โดยเฉพาะการรักษาโรคภัยไข้เจ็บและการบำรุงร่างกาย ซึ่งหมอยาไทใหญ่เชี่ยวชาญยิ่งนัก จนแม้ชาวบ้านและทหารไทใหญ่ที่อยู่กินกับแผ่นดินผืนป่ามาตลอด พวกเขาต่างมีความรู้ในเรื่องของอาหารเสริม-ยาบำรุงตามตำรับโบราณมาอย่างดียิ่งจึงแข็งแรงสุดๆ ไม่ค่อยป่วยไม่ค่อยแก่ ชนิดที่ดิฉันขึ้นไปทำงานบนดอยไตแลงฐานที่มั่นของกองกำลังรัฐฉาน เจอหน้านายทหารไทใหญ่บนยอดดอย มาหลายปีเต็มที ขณะที่ตัวเราเองแก่เฮือกๆ มากขึ้นทุกที แต่ทหารไทใหญ่กรำศึกเหล่านั้นช่างแสนอัศจรรย์ แต่ละคนต่างเหมือนเดิม บางคนยังออกอาการหนุ่มกว่าเดิมให้เห็น ผมเผ้าไม่มีหงอก หัวไม่มีล้าน เห็น ชัดๆ ก็เจ้าสิริ-เลขาธิการสภาเพื่อการกอบกู้รัฐฉาน(RCSS) อายุคงร่วม 60 ปีเข้าไปแล้วแต่ยังมีรอยยิ้มแจ่มใส ฟันขาวสวย ดวงตาแสนจะใจดีและยังหล่อพริ้งพรายไม่ทิ้งมาดพระเอกลิเกเก่าในวัยหนุ่มเลยสักน้อย สัมภาษณ์ทำงานเสร็จแล้วเมื่อไหร่เป็นอันต้องได้กระเซ้าเย้าแหย่กันไปตามสภาพ หัวเราะครืนๆ อยู่เป็นประจำในทุกครั้งที่พบหน้า

สงสัยนักว่าทำไมทหารไทใหญ่ไม่ค่อยแก่ ไม่ค่อยเจ็บไข้ ออกสนามรบกรำศึกมาหนักหนาสาหัสเป็นสิบๆ ปี พวกเขารอดพ้นจากการป่วยตายด้วยไข้ป่าหรือนานาโรคภัยมาได้อย่างไรทั้งที่วัคซีนต่างๆ ไม่เคยฉีด ยาสมัยใหม่ใช้ไม่ทั่วถึง ครั้นมีโอกาสจึงได้สืบเสาะคุ้ยถามจากพลโทเจ้ายอดศึก ผู้นำกองทัพรัฐฉานว่า ยาบำรุงกำลังบำรุงสุขภาพที่ทางเจ้าและทางทหารไทใหญ่รู้จักสรรพคุณใช้กันสืบต่อมาหลักๆ แล้วมีอะไรอยู่บ้าง

เจ้ายอดศึกยินดีตอบคำถามนี้ แจกแจงให้ความรู้ถึงบางตำรับยาที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ใครอยากเอาไปทดลองทำใช้ทำกินบำรุงร่างกายดูก็ได้ เพราะเป็นตัวยาที่เมื่อได้สืบถาม “พี่ต้อม” หรือเภสัชกร ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร จากทางสมุนไพรอภัยภูเบศร์แล้ว หลายตำรับของไทใหญ่มีสรรพคุณสอดคล้องกับสูตรสมุนไพรไทยโบราณ นั่นหมายถึงว่าตัวยานี้ต้องดีมากๆ ถึงแพร่หลายใช้กันไปทั่วทั้งของไทยและไทใหญ่

เจ้าเริ่มต้นเล่าถึงตำรับยาบำรุงร่างกายแบบไทใหญ่โบราณที่นำเอาส่วนประกอบสำคัญ 4อย่าง อันได้แก่ แสนดอก แสนหมาก แสนหัว แสนใบ มาประชุมรวมกันปรุงเป็นยาวิเศษซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

“แสนดอก” คือ “น้ำผึ้ง” เพราะผึ้งสะสมน้ำหวานจากดอกไม้เป็นแสนมารวบรวมไว้
“แสนหมาก” เจ้าบอกว่าหมายถึง “อีก้าง”อีก้างเป็นลิงชนิดหนึ่งกินผลไม้นานานับแสนชนิดซะทั่วป่า ทางไทยเรียกว่า “ค่าง” คนไทใหญ่จะใช้กระเพาะค่างมาตากแห้งบดให้เป็นผงไว้ผสมตัวยา
“แสนหัว” หมายถึงตัว “เม่น” ที่มีขนแหลมๆ ทิ่มฉึกใส่เด็กเมื่อไหร่เป็นอันร้องไห้แง บางทีสาวๆ เคย ใช้ขนเม่นทำปิ่นปักมวยผมก็มี เจ้ายอดศึกบอกว่าที่เรียกแสนหัวก็เพราะตัวเม่นจะคอยขุดหาคุ้ยกินรากไม้หัวไม้นานาสารพัด นี่ก็ใช้กระเพาะเม่นตากแห้งบดเป็นผงเช่นกัน

อย่างสุดท้ายคือ “แสนใบ” อันหมายถึงตัวเยิงที่เจ้ายอดศึกอธิบายว่า หมายถึงแพะป่า แพะภูเขา เมื่อมาสืบเสาะจากทางไทยแล้ว คนไทยภาคกลางโบราณและไทยภาคใต้มีตัว “เยือง”อันหมายถึงตัว “เลียงผา” ซึ่งก็คือสัตว์ชนิดเดียวกับตัวเยิงของไทใหญ่ เจ้ายอดศึกบอกว่าคนไทใหญ่แต่โบราณจะใช้กระเพาะตัวเยิงตากแห้งบดเป็นผง และนำสี่ส่วนประกอบนี้มาผสมให้เข้ากันแล้วปั้นเป็นก้อนยาลูกกลอน โดยมีแสนดอก(น้ำผึ้ง) ทำหน้าที่เป็นน้ำน้อก(น้ำผสม) ใช้กินบำรุงร่างกาย แก้โรคภัยไข้เจ็บได้หลากหลายนานา ทั้งยังใช้บำรุงปอดแก้โรคปอด บำรุงตับแก้โรคตับ แก้คัน บำรุง เลือด บำรุงร่างกาย ชะลอความแก่ และเจ้ายังบอกด้วยว่าถ้าไม่ทำเป็นยาลูกกลอนจะใช้แสนหมากแสนหัว แสนใบผสมกันดองในแสนดอก(น้ำผึ้ง) ตากแดดกินก็ได้ คนโบราณไทใหญ่เรียกยาสูตรนี้ว่า “หญ้าแสนยา” ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นยาครอบจักรวาลเลยก็ว่าได้ เพราะเจ้าบอกว่าที่ได้ชื่อนี้มาเนื่องจาก “โรคทุกชนิดแสนโรค จะป่วยเจ็บอย่างไร ยาตัวนี้รักษาให้หายได้”

สมัยที่ยังรบหนักๆ อยู่ในป่า เจ้ายอดศึกเล่าว่า ยังมียาที่ได้ลองกินอีกหลายอย่างเพราะอยู่ป่าไม่มีใบชา เด็กลูกน้องทหารจึงมักหาใบไม้รากไม้อันเป็นยาเถื่อน(ยาป่า)มาต้มให้กิน ซึ่งเจ้าเล่าว่า

“อีกชนิดหนึ่งที่ผมเคยลองกินคือผักหนอก (บัวบก) จะใช้ผักหนอกทั้งต้น เอาทั้งรากทั้งใบมาตากในร่มไม่ให้โดนแดด แล้วตำเป็นผงผสมกับพริกป้อม(พริกไทยดำ)บดผง มีน้ำผึ้งเป็นน้ำน้อก (น้ำประสาน) ใช้แค่สามชนิดนี้ทำเป็นยาลูกกลอนก็ได้ยาดีแล้ว สัดส่วนที่ใช้คือผักหนอก 3 ส่วน พริกไทย 1 ส่วน อันนี้ดีเป็นยาของไทใหญ่เอง คนเฒ่าใช้กินเป็นยาบำรุงสายตา บำรุงเลือด บำรุง ร่างกาย รักษาโรคได้ทุกชนิด ปอดเจ็บก็กินได้ ตับเจ็บก็กินได้ ใครกินข้าวไม่อร่อยใช้ยาตัวนี้จะกินข้าวอร่อยขึ้น ถ้าเดินทางไม่มีกำลังกินยาตัวนี้เดินทางได้ดี อันนี้ผมเคยทำกินเองอยู่บ่อยๆ”

เมื่อได้มาสืบถามจากเภสัชกร ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร พี่ต้อมยืนยันว่า ใบบัวบกหรือผักหนอก ถือเป็นยาบำรุงสมองอย่างดีมากๆ ชาติตะวันตกเรียกบัวบกว่า Brain Tonic และพี่ต้อมยังบอกว่า ยาสูตรนี้เป็นตำรับโบราณของคนไทยด้วย น้ำผึ้ง พริกไทย บัวบก กินแล้วจะคืนความเป็นหนุ่มเป็น สาว ส่วนพริกไทยก็มีสารบางอย่างที่ช่วยในการดูดซึมยาทุกตัว กินพริกไทยแล้วจะช่วยให้สามารถดูดซึมยาตัวอื่นได้มากขึ้น

สำหรับสูตรยาบำรุงกำลังช่วยให้แข็งแรงคึกคักอยู่เสมออีกตำรับหนึ่งของเจ้ายอดศึกก็คือ เอาเม็ดพันธุ์ผักกาดชนิดที่มีดอกเหลืองๆ นั้นแหละมาตากแห้งแล้วตำให้เป็นผง ใช้น้ำผึ้งมาเป็นน้ำน้อก(น้ำ ประสาน) เพียงแค่ 2 ชนิดนี้มาทำยาลูกกลอนใช้กินทุกเช้าหลังอาหารและก่อนนอน เจ้ายอดศึก ยืนยันเองว่ายาตำรับนี้ “บำรุงกำลังดีมาก ถ้าวิ่งไม่ได้ กินแล้ววิ่งได้วึ่งๆๆ” ใครอยาก มีเรี่ยวแรงแข็งขันมีพละกำลังชนิดวิ่งได้ “วึ่งๆ” แบบนายทหารไทใหญ่อย่างที่ผู้นำไทใหญ่แบ่งปันความรู้ให้มาก็ลองไปหาเม็ดผักกาดกับน้ำผึ้งมาทำกินทำใช้ดูเองเถอะ

ตำรับยาบำรุงกำลังแบบไทใหญ่ที่กล่าวมาข้างต้นใช้ได้ทั้งหญิงและชาย แต่ภูมิปัญญาไทใหญ่นั้นยังมีอะไรเด็ดๆ อีกเยอะ โดยเฉพาะยาสำหรับผู้หญิงที่กินใช้แล้วช่วยให้ไม่แก่และไม่(ยอม)ตายได้ ง่ายๆ แถมยังตอกหน้าผู้ชายใจโลเลได้อย่างจั๋งหนับอีกด้วย

สูตรยานี้ได้จากพ่ออนุ พ่อหมอยาบนดอยไตแลง บอกเล่าถึงต้นไม้สำคัญที่หมอยาไทใหญ่ใช้กันอย่างเชี่ยวชาญมากๆ คือต้นกระท่อมเลือดที่คนไทใหญ่มักเรียกกันว่าต้น “เป้าเลือดโห” มีสรรพคุณในทางแก้เลือดลม ลดความดัน บำรุงผู้หญิง ใช้แก้เบาหวาน หากนำไปผสมกับยาอื่นๆ จะ ออกฤทธิ์ทำให้ง่วงนอน คนไทใหญ่ใช้เป้าเลือดโหเข้ายาได้ทุกอย่าง จะนำมาต้มกินทำเป็นผงหรือทำเป็น ยาดองก็ได้

พ่ออนุเรียกต้นกระท่อมเลือดหรือต้นเป้าเลือดโหนี้ว่า หญ้าปู่หย่อง เวลาพ่ออนุไปพบผู้หญิงบ้านไหนผอมแห้งหน้าตาซีดเซียวไม่มีน้ำไม่มีนวล พ่อมักจะถามว่าแถวนี้ไม่มีหญ้าปู่หย่องหรือ “หญ้า ปู่หย่อง” จะขึ้นตามหน้าผาหินปูน พ่ออนุมักแนะนำให้สาวเจ้านำเอาหัวหญ้าปู่หย่องมาต้มอาบต้มกิน ซึ่งการใช้หญ้าปู่หย่องของคนไทใหญ่จะมีการผูกเรื่องเป็นนิทานแสนสนุกเล่าสืบทอดกันมา ช่วยให้จดจำสรรพคุณของหญ้าปู่หย่องไว้ชัดแจ้งไม่มีลืม ดังที่พ่ออนุเล่าให้ฟังว่า

กาลครั้งหนึ่งมีสองผัวเมียชาวไทใหญ่อยู่กันมาไม่ค่อยสุนทรทางอารมณ์ต่อกันนักเพราะนางเมียผอมจนติดฟาก(พื้นกระท่อม)ร่างกายอ่อนแอจนเกือบแทบสิ้นชีวิต นายผัว จึงตัดสินใจทิ้งเมียเอาซะดื้อๆ และหนีไปอย่างไม่ไยดี ฝ่ายนางแม่ยายสงสารลูกสาวยิ่งนักจึงเข้าป่าไปหายา นางทำการตั้งจิตอธิษฐานบนบานเจ้าป่าเจ้าเขาขอให้พบตัวยา รักษาลูกสาว ตกดึกเทพยดาอารักษ์บริเวณนั้นมาเข้าฝันบอกให้ไปหาต้นไม้แถวหน้าผา ถ้าพบต้นไหนมีรากเป็นหัว มีกิ่งก้านเลื้อยออกจากหัว ให้ลองหักกิ่งก้านดู หากมีเลือดไหลออกมาให้เอาต้นนั้นทำยา นางแม่จึงดั้นด้นออกค้นหาต้นไม้ตามความฝัน ในที่สุดก็พบต้นไม้หัวใหญ่เบ้อเริ่มมีใบมีกิ่งก้านเลื้อยรุงรังออกมา หักดูยังมีเลือดไหลออกพลั่กๆ เหมือนที่ได้ยินจากความฝัน นางแม่แสนดีใจนักรีบนำหัวของสมุนไพรนั้นไปต้มให้ลูกสาวอาบและกิน เพียงไม่นานนางลูกสาวก็หายวันหายคืน ทั้งยังกลับมาจิ้มลิ้มพริ้มเพราสวยงามกว่าเก่า นายผัวรู้เรื่องเข้ารีบแจ้นกลับมาหาอยากได้เมียคืน แต่นางเมียรู้เช่นเห็นชาติซะแล้วจึงไม่ยอมคืนดีด้วย ประมาณว่าไปหา(เมีย)เอาข้างหน้าเถอะนะจ๊ะ ทำเอานายผัวเสียใจจนออกอาการ “หย่อง” คลุ้มคลั่งไป คนทั่วไปจึงเรียกชายผู้นี้ว่า “ปู่หย่อง” คำว่าหย่องในภาษาไทใหญ่นั้นแปลความหมายแจ่มชัดไม่มีดีดดิ้นไปทางไหนคือ หมายถึงบ้า !

แต่การใช้หญ้าปู่หย่องของคนไทใหญ่เพื่อรักษาอาการซีดเซียวไม่มีเรี่ยวแรงของผู้หญิงนั้นค่อนข้างจะซับซ้อนอยู่บ้าง การใช้สมุนไพรตัวนี้มักต้องระมัดระวังหลายอย่าง ดังนั้นจึงบันทึกนิทานมาเล่าให้ฟังเล่นสนุกๆ เป็นหลักฐานเรื่องเล่าไว้ มิใช่เพื่อมาแนะนำให้สาวๆ ตั้งใจควานหาหญ้าปู่หย่องไปต้มอาบต้มกินไว้แก้เผ็ดหรือแก้แค้นผู้ชายคนไหน !

เป็นเรื่องน่ายินดีที่สรรพตัวยาบำรุงร่างกายบำรุงกำลังของคนไทใหญ่อันสืบต่อมาแต่โบราณนั้นยังสืบต่อถึงปัจจุบันได้หลากหลายนัก นี่เป็นสิ่งดีอย่างหนึ่งที่ซ่อนอยู่ในสภาพบ้านเมืองอันระอุด้วยไฟสงคราม ที่ผู้คนต่างสั่งสมสติปัญญาภูมิความรู้ในการดำรงรักษาชีวิตไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพให้อยู่กันอย่างไม่ยอมตายได้ง่ายๆ ผู้คนไทใหญ่ดิ้นรนที่จะมีชีวิตอยู่ดิ้นรนรักษาแผ่นดินรักษาเผ่าพันธุ์อย่างสุดกำลังท่ามกลางความยากลำบากแสนสาหัส ขณะที่อีกด้าน หนึ่งในสังคมของประเทศพัฒนาแล้วเต็มไปด้วยความมั่งคั่งปลอดภัย ร่ำรวยด้วยสาธารณูปโภคทุกอย่างและมีรัฐสวัสดิการเข้มแข็ง ถือเป็นบ้านเมืองแห่งความใฝ่ฝันของคนในอุษาคเนย์ทุกชาติอย่างประเทศญี่ปุ่นกลับมีคนฆ่าตัวตายแทบจะอันดับ 1 ของโลก คือปีละประมาณ 30,000 คน เฉลี่ย วันละเกือบ 100 คน !

อย่างนี้สมควรจะอยู่อย่างดิ้นรนลำบากไม่(ยอม)ตายง่ายๆ?ในแผ่นดินสงครามของไทใหญ่
หรือชวนกันไปฆ่าตัวตายด้วยความสบายและร่ำรวยในประเทศญี่ปุ่น--จะเอาแบบไหนกันดี?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น