วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

ค่าปรับทางหลวง

โดยหนุ่มอิน

ในวันที่แดดร้อนเปรี้ยงปร้าง ผู้โดยสารเบียดเสียดจนไม่มีที่ให้นั่ง ฉันได้แต่ยืนอยู่ในรถบรรทุกโดยสารมองออกไปยังป้ายที่ชี้ระยะทาง160 กิโลเมตรจากตัวเมืองเชียงใหม่ไปยังหมู่บ้านของฉัน ซึ่งตั้งอยู่ทางหลังเขาสูงติดชายแดนไทย – พม่า นี่อาจจะเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ฉันต้องกลับบ้านอย่างกะทันหัน ในใจก็นึกตื่นเต้นและดีใจอยู่ที่จะได้กลับไปเจอหน้าคนในครอบครัว แต่อีกใจหนึ่งก็ยังหวั่นๆและลุ้นว่ากลับบ้านคราวนี้ฉันจะเสียค่าปรับให้กับเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบตามด่านตรวจเหมือนครั้งก่อนๆหรือไม่  เพราะหนังสือขออนุญาตเดินทางออกนอกพื้นที่ของฉันหมดอายุแล้ว  ไม่วายฉันเองต้องนั่งรถไปและนั่งสวดมนต์ไปท่องคุณพระคุณเจ้าตามที่แม่เคยสอนไว้ให้คุ้มครองตัวเองอย่าให้โดนตำรวจจับ และอย่าให้เงินในกระเป๋าต้องลดจำนวนลงไปอยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ เหตุเพราะเหลือเงินเพียงจำนวนน้อยนิด ซึ่งยังต้องนำเงินส่วนนี้ไปต่อชีวิตตัวเองอยู่อีกหลายวัน 

เสียงจอแจของผู้โดยสารในรถและเสียงของใครคนหนึ่งปลูกให้ฉันและผู้โดยสารคนอื่นๆตื่นขึ้นมากะทันหัน “ขออนุญาตตรวจบัตรประจำตัวด้วยครับ”เอาแล้ว ฉันคิดขึ้นในใจ กระวนกระวายจะตอบเจ้าหน้าที่ยังไงดีเนี่ย แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่า คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำหนังสือเดินทางที่หมดอายุของฉันไปดู ไม่นานนักฉันถูกเรียกเข้าไปยังห้องๆหนึ่งที่พ้นจากสายตาผู้สัญจรไปมาในสถานีตำรวจที่ตั้งด่านตรวจแห่งนี้ ฉันรู้สึกแปลกใจเพราะไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่ถูกเรียกตัวเข้ามายังห้องนี้ ฉันพบว่าผู้โดยสารคนอื่นๆอีกประมาณ 8-9 คนที่ไม่มีหนังสือเดินทางหรือบางคนที่มีหนังสือเดินทางหมดอายุเหมือนฉันรออยู่ในห้องนี้ก่อนแล้ว

เสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจร่างท้วมๆคนหนึ่งนับจำนวนของพวกเราทั้งหมด นับแล้วนับอีกเหมือนว่ากลัวเราคนใดคนหนึ่งหายไปยังไงอย่างงั้น ไม่นานนักตำรวจคนเดิมแบมือขอเงินเราคนละ 300 บาทโดยไม่ออกใบเสียค่าปรับให้ ถึงแม้บางคนจะพยายามอ้อนวอนขอให้ตำรวจลดค่าปรับลงอีกหน่อยเพราะไม่มีเงิน แต่ตำรวจไม่ได้ฟังเสียงใครทั้งนั้น แบมือขอเงินอย่างเดียว ฉันรู้สึกสมเพชตำรวจคนนี้ เพราะเขาดูไม่เหลือสง่าราศีของเจ้าหน้าในเครื่องแบบแต่กลับเหมือนพ่อค้าในตลาดไปทุกที ตำรวจคนเดิมบ่นกับพวกเราว่า เสียค่าปรับแค่สามร้อยถือว่าน้อยนิด เพราะถ้าหากตำรวจอยากดำเนินคดีกับเราจริงๆแล้วล่ะก็ เราอาจจะถูกกุมขังและเสียค่าปรับมากว่านี้หลายเท่า

อาจจะจริงอย่างที่ตำรวจคนนั้นพูด เพราะเพื่อนคนหนึ่งของฉันเคยถูกกุมขังอยู่ในคุกเป็นเวลาหลายเดือนและเสียเงินไถ่ตัวเกือบหมื่น เนื่องจากไม่มีบัตร แต่ภายหลังเพื่อนฉันคนนี้ก็ยังถูกผลักดันไปยังชายแดนในอำเภอแห่งหนึ่ง เขาได้เล่าประสบการณ์ครั้งนั้นให้ฉันฟังว่า เมื่อตอนที่อยู่ในคุกนั้นเขาและคนอื่นๆที่ถูกจับต้องอยู่อย่างลำบาก เนื่องจากอาหารและน้ำดื่มไม่พอกิน แต่เรื่องนี้ยังไม่หนักหนาเท่ากับการกระทำของเจ้าหน้าที่ตำรวจบางคน ที่ทำกับแรงงานข้ามชาติเหมือนไม่ใช่คน เหมือนเช่นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทุบตีหญิงชราคนหนึ่งรวมทั้งการใช้ถ้อยคำหยาบคายดูถูกดูแคลนอย่างไม่เหมาะสม ซึ่งไม่ยังไม่นับรวมกับทรัพย์สินอื่นๆที่ถูกยึด ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงจากผู้กุมกฎหมายบางคน

เขาเล่าว่า ก่อนที่เค้าจะมาเมืองไทย เขาคิดว่าเมืองไทยเป็นประเทศประชาธิปไตยและดีกว่าในพม่าเป็นร้อยเท่า แต่พอเขามาอยู่ในสถานะที่ถูกตราหน้าว่าเป็นแรงงานต่างด้าวแล้ว เขาชักไม่แน่ใจกับเรื่องนี้แล้ว  อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่มีทางเลือกมากนัก จึงต้องหันหน้ากลับเข้าทำงานในไทยอีกครั้งเหมือนที่อีกหลายๆคนทำ ถึงแม้จะได้ค่าแรงต่ำโดนเจ้านายกดขี่แต่ก็ยังดีกว่าถูกจับ และคงต้องมีชีวิตที่เสี่ยงต่อการเลือกปฏิบัติอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ

ข่าวพาดหัวตามหน้าหนังสือพิมพ์หลายๆฉบับเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบใช้อำนาจรังแกประชาชนเมื่อเดือนก่อน ทำให้ฉันหวนนึกไปถึงชีวิตของพี่ชายแท้ๆที่จากโลกนี้ไปอย่างไม่มีวันกลับ ในช่วงนโยบายปราบปรามยาเสพติดของสมัยนายกทักษิณ คนในหมู่บ้านของฉันตายไม่รู้กี่ศพเนื่องจากการฆ่าตัดตอน ตำรวจต่างพากันทำผลงานเพื่อจะได้เลื่อนยศ และการยัดยาบ้าใส่ตัวผู้บริสุทธิ์ดูเหมือนจะได้รับความนิยมในหมู่ตำรวจบางกลุ่มพี่ชายฉันถูกจับโดยไม่มีของกลาง พอไปถึงโรงพักตำรวจเห็นว่าไม่ใช่คนไทย จึงยัดยาบ้าให้ 50 เม็ด ซ้อมให้รับสารภาพ ภายหลังจึงถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 3 ปีกว่า โดยไม่สามารถร้องเรียนให้ใครช่วยเหลือได้  อย่างไรก็ตาม ฉันคิดว่ามันผ่านไปแล้ว ถึงแม้จะรู้สึกเศร้าทุกครั้งที่นึกถึงว่าทำไมคนถึงต้องทำร้ายกันอย่างนี้ แต่ฉันก็ยังหวังว่าเหตุการณ์แบบนี้มันคงจะไม่เกิดขึ้นกับใครอีกไม่ว่าจะกับคนไทยหรือกับคนกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ เพราะทุกคนก็ต่างต้องการความชอบธรรมและเสรีภาพที่เท่าเทียมกัน

รถโดยสารพาเรามาถึงอีกจุดตรวจแห่งหนึ่งก่อนเข้าอำเภอ ฉันได้แสดงหนังสือเดินทางให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูอีกครั้ง เจ้าหน้าที่คนนึ่งเปรยขึ้นว่า “เสียค่าปรับมาแล้วใช่มั้ยครับ แล้วทำไมไม่ขอใบเสร็จเสียค่าปรับมาด้วยล่ะ เดี๋ยวก็โดนเจ้าหน้าที่คนอื่นๆปรับอีกหรอก” เจ้าหน้าที่พูดแสดงความห่วงใยก่อนปล่อยให้รถโดยสารวิ่งไปยังจุดหมายปลายทางต่อไปโดยไม่เรียกเก็บเงินเหมือนด่านแรก พร้อมทั้งแนะให้ฉันทำเอกสารให้ถูกต้องก่อนออกนอกพื้นที่ เพื่อไม่ให้ใครมาเอาเปรียบได้

รถยังคงวิ่งไปตามไหล่เขาอย่างช้าๆระมัดระวัง สายฝนปอยๆโปรยลงมากลบฝุ่นตามถนนที่ฟุ้งตลบความรู้สึกที่ไม่ดีต่อเจ้าหน้าในด่านตรวจครั้งแรกนั้นได้หายไปหมดแล้วเหมือนกับฝุ่น อย่างน้อยฉันก็ได้เรียนรู้ว่า เจ้าหน้าในเครื่องแบบก็ไม่ได้เลือกปฏิบัติหรือเอารัดเอาเปรียบพวกเราเหมือนกันทุกคน เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกรอบกฎหมายและอยู่ในศีลธรรมก็ยังมีอยู่ แต่การจะใช้ชีวิตไม่ให้ถูกเอาเอาเปรียบได้ง่ายของคนที่อยู่ในสถานะที่ไม่มีสิทธิเพียงพอในเรื่องของเอกสาร หรือคนที่ไม่ใช่เจ้าของประเทศเหมือนอย่างแรงงานข้ามชาติจากพม่าหรือผู้ลี้ภัยจากสงครามเห็นจะเป็นเรื่องยาก ตราบที่เจ้าของประเทศยังไม่ยอมเข้าใจและเห็นอกเห็นใจในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โดยเอาเรื่องเชื้อชาติมาขีดเส้นกั้นจนลืมเลือนเรื่องหลักมนุษยธรรมไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น